txt
stringlengths
202
53.1k
# AWS เปิดบริการ Generative AI สามารถเลือกโมเดลจากผู้ผลิตหลายราย AWS เปิดบริการ Bedrock ให้บริการ Generative AI สำหรับการสร้างคอนเทนต์ โดยลูกค้าสามารถเลือกใช้งานโมเดลของผู้ผลิตภายนอก หรือจะเป็นโมเดลของ AWS เองก็ได้ Bedrock ให้บริการได้ทั้งโมเดลปัญญาประดิษฐ์ประมวลผลภาษา (LLM) เช่น Jurassic-2 จาก AI21 หรือปัญญาประดิษฐ์สร้างภาพ (text-to-image) อย่าง Stable Diffusion โดยทาง AWS เองก็มีโมเดล Titan FM ให้เลือกใช้งานเองด้วย มีความสามารถในการประมวลผลภาษา และการแปลงข้อความเป็นเวคเตอร์ (embedding) เพื่อการใช้งานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ ลูกค้าสามารถเลือกใช้งานโมเดลพื้นฐานเปล่าๆ (Foundation Models - FM) หรือจะปรับแต่งด้วยข้อมูลของลูกค้าเองด้วยการชี้ Bedrock ให้ฝึกโมเดลเพิ่มด้วยชุดข้อมูลที่วางอยู่ใน S3 ตอนนี้ Bedrock ยังอยู่ในช่วงทดสอบวงปิด และยังไม่เปิดเผยราคาค่าใช้งาน ผู้สนใจสามารถไปลงชื่อขอทดลองใช้งานก่อนได้ ที่มา - AWS
# ทวีตยาว ๆ ไม่สะดุด - Twitter รองรับทวีตยาว 10,000 ตัวอักษรแล้ว ได้เฉพาะลูกค้า Twitter Blue ต่อเนื่องจากประกาศบริการใหม่ Subscriptions ที่เปิดให้ครีเอเตอร์รับสมาชิกเพื่ออ่านคอนเทนต์เอ็กซ์คลูซีฟ Twitter ก็ประกาศเพิ่มฟีเจอร์อีกหนึ่งรายการคือ สามารถทวีตข้อความได้ยาวมากขึ้น โดยมีผลทันที Twitter สามารถทวีตได้สูงสุด 10,000 ตัวอักษร จากเดิม 4,000 ตัวอักษร นอกจากนี้สามารถเน้นข้อความด้วยตัวหนาและตัวเอียง ผ่านการทวีตจากเวอร์ชันเว็บ twitter.com ได้อีกด้วย บริการดังกล่าวเปิดให้เฉพาะลูกค้า Twitter Blue เท่านั้น ซึ่ง Twitter ก็บอกว่าการขยายความยาวทวีตนี้ เป็นส่วนหนึ่งเพื่อเสริมกับบริการ Subscriptions ให้ครีเอเตอร์นำเสนอเนื้อหาแบบยาวหรือ Long Form นั่นเอง ที่มา: @TwitterWrite
# Square Enix เผยข้อมูลเพิ่มเติม Final Fantasy XVI ใน State of Play เมษายน 2023 Playstation State of Play เมื่อช่วงตีสี่ที่ผ่านมาตามเวลาในไทย ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงกับ Final Fantasy XVI เพียงเกมเดียว โดย Naoki Yoshida โปรดิวเซอร์ ได้กล่าวต้อนรับพร้อมบรรยายภาษาญี่ปุ่นด้วยตนเอง นอกจากการโชว์ระบบพัฒนาตัวละครโดยใช้อบิลิตี้ ยังมีการเปิดตัว "Hideaway" รังของ Clive Rosfield ตัวเอก ที่สามารถซื้อ/ตีบวกอาวุธชุดป้องกัน, ฝึกซ้อมผ่าน Arete Stone เก็บคะแนนแข่งกับผู้อื่นในโลกออนไลน์, พูดคุยกับนักประวัติศาสตร์ Harpocrates เพื่อประมวลความรู้บันทึกในจดหมายเหตุ รวมถึงสามารถดูความสัมพันธ์ของบุคคลและอาณาจักรต่าง ๆ จากนักวิชาการด้านทหาร Vivian และรับงานปราบมอนสเตอร์ที่ปิดประกาศในรังดังกล่าวได้อีกด้วย ส่วนไฮไลท์สำคัญของการนำเสนอครั้งนี้คือฉากต่อสู้ ผู้เล่นสามารถเลือกได้ตั้งแต่ต้นเกมว่าจะเน้นเนื้อเรื่อง (Story Mode) หรือเน้นการต่อสู้ (Action Mode) หากเน้นเนื้อเรื่อง จะมีการสวมใส่เครื่องประดับที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งตั้งแต่แรก จึงสามารถต่อสู้ได้ง่ายขึ้นเพื่อโฟกัสกับเนื้อเรื่องได้เต็มที่ การต่อสู้มีทั้งกับมอนสเตอร์, ศัตรูระดับสูง, Dominant ทั้งแบบปกติและแบบเพาเวอร์อัพ รวมถึง Eikon สองตนปะทะกัน ซึ่งในแบบหลังสุดสามารถโจมตีสร้างความเสียหายได้ถึงหลักล้านเลยทีเดียว พร้อมกันนี้ Square Enix ยังได้เปิดเผยว่า Kenshi Yonezu เจ้าของเพลงชื่อดัง Lemon เป็นผู้ประพันธ์และขับร้อง "Tsuki Wo Miteita – Moongazing" เพลงธีมของเกมนี้ด้วย ข้อมูลจากวิกิพีเดียระบุว่าเขามีอาการออทิซึม อีกทั้งเกมนี้ยังมีตัวละครที่เป็น LGBTQ+ อีกด้วย ตำนานคริสตัลบทใหม่นี้คงไม่ใช่แบบที่เราคุ้นเคยในอดีตอีกต่อไป Final Fantasy XVI พร้อมวางจำหน่าย 22 มิถุนายน 2023 ที่มา: Square Enix Press Release, Gematsu
# Ubisoft+ ออกแพ็กเกจ Multi Access จ่ายทีเดียวเล่นได้ทั้งพีซี คลาวด์ และคอนโซล Xbox Ubisoft เปิดบริการเล่นเกมเหมาจ่าย Ubisoft+ บนคอนโซล Xbox หลังประกาศไว้ตั้งแต่เดือนมกราคม 2022 แล้วเงียบหายไปนานปีกว่า Ubisoft+ บน Xbox ไม่ได้เป็นบริการบน Xbox เพียวๆ แต่เป็นแพ็กเกจใหญ่ที่เรียกว่า Ubisoft+ Multi Access สมัครครั้งเดียวเล่นได้ทั้งบนพีซี, คลาวด์ Amazon Luna และคอนโซล Xbox ในราคา 17.99 ดอลลาร์ต่อเดือน แพงขึ้นจากแพ็กเกจปกติบนพีซีที่ 14.99 ดอลลาร์ต่อเดือน ปริมาณเกมที่รองรับบน Xbox มีประมาณ 60 เกม (รายชื่อทั้งหมดจากที่มา) ยังน้อยกว่าเกมบนพีซีประมาณ 100 เกม แต่ก็ครอบคลุมเกมดังๆ ของค่ายอย่าง Assassin's Creed Valhalla, Far Cry 6, Rainbow Six Extraction เป็นต้น บริการ Ubisoft+ ยังไม่มีในประเทศไทย (รายชื่อประเทศทั้งหมด) Ubisoft+ ไม่ใช่บริการเล่นเกมเหมาจ่ายของค่ายเกมตัวแรกบน Xbox เพราะก่อนหน้านี้มี EA Play ซึ่งรวมอยู่ในแพ็กเกจ Xbox Game Pass Ultimate เลย ที่มา - Ubisoft
# Twitter ประกาศรีแบรนด์ Super Follows เป็น Subscriptions ให้ครีเอเตอร์เปิดรับสมาชิก Twitter ประกาศรีแบรนด์ฟีเจอร์ Super Follows ที่ให้ผู้ติดตามสามารถจ่ายเงินรายเดือนกับครีเอเตอร์ เพื่อดูคอนเทนต์เอ็กซ์คลูซีฟ เป็นการส่งเสริมรายได้ให้ครีเอเตอร์อีกช่องทาง โดยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Subscriptions Elon Musk ซีอีโอ Twitter ให้รายละเอียดเพิ่มเติมของบริการ Subscriptions เบื้องต้น ว่าในปีแรกของการสมัคร ครีเอเตอร์จะได้รับเงินเกือบเต็มจำนวนที่ผู้ติดตามจ่าย หลังหักค่าธรรมเนียม App Store, Play Store หรือค่าธรรมเนียมของผู้ให้บริการระบบจ่ายเงิน หลังจากนั้น Twitter จะหักค่าธรรมเนียมเพิ่มเล็กน้อย นอกจากนี้ Twitter จะช่วยโปรโมตบัญชีที่เปิดระบบ Subscriptions ด้วย ครีเอเตอร์ที่ต้องการเปิด Subscriptions ต้องเป็นบัญชีในอเมริกา อายุมากกว่า 18 ปี มีผู้ติดตามมากกว่า 1 หมื่นบัญชี และทวีตอย่างน้อย 25 ข้อความในช่วง 30 วัน ส่วนการสมัครรับ Subscription สามารถทำได้ทุกบัญชีทั่วโลก ในไทยสามารถทำได้ผ่านแอป iOS หรือ Android ไม่สามารถทำผ่านเว็บได้ ราคาค่าสมาชิกกำหนดที่ $2.99, $4.99 หรือ $9.99 มีข้อสังเกตว่าในเบื้องต้นคุณสมบัติการใช้งานของ Subscriptions ไม่แตกต่างจาก Super Follows เดิมเลย แต่ Twitter ก็ระบุไว้ในหน้า Help Center ว่าอนาคตอาจเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น การส่งจดหมายข่าวให้ผู้ติดตาม ได้ด้วย ซึ่งฟีเจอร์นี้อาจเป็นคำตอบสำหรับ Substack บริการสมัครรับจดหมายข่าว ที่ Twitter เปิดฉากตอบโต้ในช่วงที่ผ่านมา ที่มา: The Verge
# กูเกิลเปิดบริการตรวจสอบความปลอดภัยแพ็กเกจโอเพนซอร์ส Assured OSS ให้ใช้งานฟรี Google Cloud มีโครงการ Assured Open Source Software (Assured OSS) คอยช่วยดูแลความปลอดภัยของแพ็กเกจโอเพนซอร์สแบบครบวงจร เพื่อป้องกันปัญหา supply chain attack ที่พบบ่อยขึ้นในช่วงหลัง ตอนนี้โครงการ Assured OSS เข้าสถานะ general availability (GA) และเปิดให้องค์กรใช้ฟรี สิ่งที่ Assured OSS เข้ามาช่วยมีตั้งแต่ตรวจสอบแพ็กเกจซอฟต์แวร์ว่ามาจากแหล่งที่เชื่อถือได้, คอยสแกนโค้ด หาช่องโหว่ อุดช่องโหว่, เข้ามาช่วยทำเรื่อง package signing เพื่อการันตีความปลอดภัยของแพ็กเกจ Assured OSS ยังรองรับเฉพาะโครงการที่เขียนด้วย Java และ Python โดยมีแพ็กเกจยอดนิยมที่กูเกิลตรวจสอบให้แล้วมากกว่า 1,000 รายการ ครอบคลุมโครงการยอดนิยมอย่าง TensorFlow, Pandas, Scikit-learn สิ่งที่กูเกิลทำคือตรวจสอบหาช่องโหว่ของแพ็กเกจเหล่านี้ และช่วยส่งแพตช์กลับไปยังต้นน้ำด้วย กูเกิลให้ข้อมูลว่าหลังตรวจสอบแพ็กเกจ 278 รายการแรก ช่องโหว่ใหม่ของแพ็กเกจเหล่านี้ถูกค้นพบโดยกูเกิลคิดเป็นสัดส่วน 48% ของช่องโหว่ทั้งหมด ซึ่งกูเกิลได้แก้ไขและส่งกลับต้นน้ำเรียบร้อยแล้ว ลูกค้า Google Cloud สามารถสมัครใช้งานได้จาก Assured OSS ที่มา - Google Cloud
# Meta โอเพนซอร์ส เครื่องมือสร้างแอนิเมชั่นด้วย AI จากภาพวาดเส้น Meta ประกาศโอเพนซอร์สเครื่องมือสร้างแอนิเมชั่น โดยอาศัยข้อมูลตั้งต้นจากภาพวาดลายเส้น (Doodle) เพื่อให้นักพัฒนาสามารถนำไปต่อยอดใช้งานในหลายรูปแบบที่ต้องการ ทีมวิจัยด้าน AI ของ Meta หรือทีม FAIR (The Fundamental AI Research) เคยเผยแพร่เครื่องมือสร้างแอนิเมชั่นจากภาพวาดเมื่อปี 2021 ในรูปแบบเครื่องมือ web-based ที่ผู้ใช้งานอัปโหลดรูปภาพ และสร้างแอนิเมชั่นขึ้นมาได้ ซึ่ง Meta บอกว่าถึงตอนนี้มีรูปภาพอัปโหลดแล้วมากกว่า 1.6 ล้านรูป ทำให้ทีมงานพบว่ามีความต้องการสร้างแอนิเมชันที่มากเกินความสามารถของเครื่องมือบนเว็บ จึงตัดสินใจโอเพนซอร์สเพื่อให้ไปสร้างสรรค์งานต่อได้เอง โค้ดที่เผยแพร่นั้นประกอบด้วยชุดข้อมูล 180,000 ภาพ สามารถนำไปสร้างสรรค์งานต่อ เช่น กำหนดให้แอนิเมชั่นขยับพร้อมกันเป็นจำนวนมาก ใส่เสียงเพลง เพิ่มฉากหลังที่ต้องการ และอื่น ๆ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GitHub ของโครงการนี้ ที่มา: Meta ผ่าน Engadget
# หลุด Windows Handheld Mode โครงการปรับ Windows ให้เหมาะกับเครื่องเกมพกพา บัญชีทวิตเตอร์ WalkingCat (@h0x0d) นักปล่อยข้อมูลหลุดสายไมโครซอฟท์ โพสต์คลิปโปรเจคภายใน Microsoft Hackathon ช่วงเดือนกันยายน 2022 เป็นการทดลองทำ Windows Handheld Mode สำหรับเครื่องเล่นเกมพกพาแบบ Steam Deck ในวิดีโออธิบายว่าตอนนี้อุปกรณ์จำพวก Steam Deck มาแรง แม้มันสามารถรัน Windows 11 ได้ แต่ตัว Windows เองก็ไม่ได้ปรับแต่งมาดีสำหรับอุปกรณ์ขนาดหน้าจอ 7" ในหลายแง่มุม ทั้งเรื่องขนาดของ UI, คีย์บอร์ดแบบสัมผัสบนหน้าจอ, การรองรับอินพุตแบบคอนโทรลเลอร์, ไดรเวอร์ฮาร์ดแวร์ ฯลฯ โครงการ hackathon ครั้งนี้ได้ลองสร้าง Windows Handheld Mode ที่แก้ปัญหาบางอย่าง เช่น ปรับขนาดของ Taskbar และ UI เดสก์ท็อปให้พอดีกับหน้าจอ Steam Deck, มีปุ่มกดเพื่อติดตั้งไดรเวอร์ที่จำเป็นในคลิกเดียว, รองรับการใช้คอนโทรลเลอร์ Steam Deck สั่งงานหน้าจอเดสก์ท็อป เป็นต้น เอกสารของโครงการยังรวบรวมปัญหาอื่นๆ ที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม เช่น คีย์บอร์ดแบบสัมผัส, UI scaling, การสร้าง Launcher สำหรับเรียกเกมแบบรวดเร็ว, ปรับแต่งแอพ Xbox และ Game Bar ให้พอดีกับหน้าจอ ตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าโครงการ Windows Handheld Mode ได้รับการอนุมัติให้เดินหน้าต่อหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่ hackathon แล้วจบกันแค่นี้ ที่มา - The Verge
# Google ประกาศปิด Currents บริการที่แทน Google+ สำหรับลูกค้าองค์กร 5 กรกฎาคมนี้ กูเกิลประกาศรายละเอียดเพิ่มเติมของแผนการปิดบริการ Currents บริการที่มาแทน Google+ สำหรับลูกค้าองค์กร ที่ประกาศปิดตัวเมื่อปีที่แล้ว Currents จะปิดไม่สามารถใช้งานได้ตั้งแต่ 5 กรกฎาคม 2023 เป็นต้นไป ผู้ดูแล Workspace ยังสามารถนำข้อมูลจาก Currents ออกมาได้ผ่าน Takeout ภายในวันที่ 8 สิงหาคม 2023 หลังจากนั้นข้อมูลทั้งหมดจะไม่สามารถดาวน์โหลดออกมาได้อีก กูเกิลบอกว่าฟีเจอร์ด้าน Community ที่มีใน Currents จะนำไปใส่ใน Google Chat และ Google Spaces แทน ซึ่งช่วง 1 ปีที่ผ่านมา Google Chat ได้เพิ่มฟีเจอร์ด้านนี้มาตลอด ในอนาคตยังมีแผนรวมทุกอย่างใน Gmail หน้าเดียวไม่ต้องสลับหน้าไปมาด้วย ที่มา: กูเกิล
# AWS ปล่อย CodeWhisperer ปัญญาประดิษฐ์ช่วยเขียนโค้ดให้ทุกคนใช้งานฟรี AWS เปิดบริการ CodeWhisperer ระดับผู้ใช้ทั่วไปให้ใช้งานได้ฟรี แม้ไม่ได้ใช้งาน AWS อยู่ก่อน นอกจากสามารถช่วยเขียนโปรแกรมแล้วยังสามารถใช้งานเพื่อสแกนหาช่องโหว่ความปลอดภัยของโค้ดด้วย CodeWhisperer ทำงานใน Visual Studio Code, IntelliJ IDEA และ IDE อื่นๆ อีกหลายตัวรวมถึง IDE ของ AWS เองอย่าง AWS Cloud9 และคอนโซล AWS Lambda ตอนนี้รองรับภาษาจำนวนมาก ได้แก่ Python, Java, JavaScript, TypeScript, C#, Go, Rust, PHP, Ruby, Kotlin, C, C++, Shell scripting, SQL, และ Scala สำหรับลูกค้าองค์กรสามารถซื้อบริการ CodeWhisperer ระดับ Professional ที่จะจัดการผู้ใช้ได้ดีขึ้น สามารถปรับแต่งรูปแบบการแนะนำโค้ดและตั้งค่าการสแกนความปลอดภัยโค้ดได้ ที่มา - AWS
# FBI ตามจับโจรขโมยบิตคอยน์ 53,500 BTC จากตลาดมืด Silk Road สิบปีก่อน FBI ยึดบิตคอยน์จาก Jimmy Zhong ลูกค้าของตลาดมืด Silk Road ที่พบบั๊กในเว็บทำให้ถอนบิตคอยน์ออกมาได้มากกว่าที่ฝากไว้ตั้งแต่ปี 2012 Zhong พบว่าหากคลิกถอนเงินจาก Silk Road เงินรัวๆ ก็จะได้รับบิตคอยน์ออกมาเบิ้ลเป็นสองเท่า หลังจากนั้นเขาเร่งสร้างบัญชีจำนวนมากเพื่อฝากและถอนเงินออกมาจาก Silk Road ในช่วงเวลาสองวัน ได้บิตคอยน์รวม 53,500 BTC ซึ่งในช่วงเวลานั้นมีมูลค่าประมาณ 620,000 ดอลลาร์ Ross William Ulbricht ผู้ก่อตั้งตลาดมืด Silk Road ที่ให้บริกรขายยาเสพติดจำนวนมากในช่วงปี 2011-2013 มูลค่ารวมสูงถึง 30-45 ล้านดอลลาร์ต่อปี หลังจาก Zhong ขโมยเงินไปได้ 53,500 BTC แล้ว Ulbricht ก็ติดต่อถามว่าใช้ช่องโหว่อะไรในการขโมยเงิน พร้อมกับขอบคุณสำหรับข้อมูลและให้บิตคอยน์เพิ่มไปอีก Zhong ไม่ยุ่งอะไรกับบิตคอยน์ที่ได้มาเลย จนกระทั่ง 5 ปีต่อมา จึงนำ 4% ออกมาใช้งาน 3% ใช้ส่วนตัว ที่เหลือนำไปแจกเพื่อนและถูกขโมย แถมยังรายงานรายได้จากการขายบิตคอยน์ไปยังสรรพากรสหรัฐฯ ความผิดพลาดของ Zhong คือเขาโอนเงินที่ได้จาก Silk Road มารวมกับบัญชีที่เขาใช้ซื้อคริปโตจากตลาดซื้อขายในช่วงปลายปี 2020 โดยสรรพากรสหรัฐฯ มีรายชื่อบัญชีที่เกี่ยวข้องกับ Silk Road อยู่ ทำให้เมื่อบัญชีเหล่านี้เคลื่อนไหวสรรพากรสหรัฐฯ ก็ตามจับทันที โดยตลาดซื้อขายบิตคอยน์แจ้งหมายเลขไอพีที่ใช้ส่งคำสั่งซื้อขายเป็นบ้านของ Zhong FBI ตามจับ Zhong ได้ช่วงปลายปี 2021 มูลค่าบิตคอยน์ที่เหลืออยู่ในตอนนั้นสูงถึง 3.39 พันล้านดอลลาร์หรือกว่าแสนล้านบาท ที่มา - Wall Street Journal, Court Listener
# อินเทลจับมือ Arm พัฒนากระบวนการผลิต Intel 18A รองรับการผลิตชิป SoC Arm อินเทลประกาศความร่วมมือกับ Arm เพื่อให้ธุรกิจรับจ้างผลิตชิป Intel Foundry Services (IFS) รองรับการผลิตชิป SoC สถาปัตยกรรม Arm บนกระบวนการผลิตแบบ Intel 18A ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กระบวนการนี้เรียกว่า design technology co-optimization (DTCO) ข้อตกลงนี้จะเน้นไปที่ SoC สำหรับมือถือเป็นหลัก แต่ในอนาคตจะขยายไปยังชิปสำหรับ IoT, รถยนต์, เซิร์ฟเวอร์ และชิปสำหรับอุปกรณ์อื่นๆ ได้ด้วย เนื่องจาก Arm ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบตัวชิป SoC ด้วยตัวเอง ข้อตกลงนี้จึงเป็นการเตรียมความพร้อมให้กระบวนการผลิตของอินเทลรองรับชิป Arm อย่างเต็มที่ เมื่อบริษัทที่ทำชิป SoC พัฒนาชิปเสร็จก็สามารถมาจ้าง IFS ผลิตได้ง่ายขึ้น ในข่าวยังไม่ได้บอกว่าลูกค้าของ Arm รายใดบ้างมีโอกาสจ้าง IFS ผลิตชิป แต่ก่อนหน้านี้ อินเทลมีข้อตกลงรับจ้างผลิตชิปให้ MediaTek, เคยประกาศชื่อลูกค้า 2 รายคือ Qualcomm และ AWS รวมถึง NVIDIA เคยบอกว่าสนใจจ้าง IFS ด้วยเช่นกัน ที่มา - Intel
# IBM กำลังพิจารณาขายส่วนธุรกิจพยากรณ์อากาศ คาดมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ มีรายงานว่า IBM กำลังพิจารณาขายกิจการธุรกิจด้านการพยากรณ์อากาศ โดยตอนนี้อยู่ในขั้นตอนรับการเสนอราคาเบื้องค้น คาดว่ามูลค่ากิจการหากดีลสำเร็จจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ ส่วนธุรกิจพยากรณ์อากาศของ IBM นั้น เริ่มต้นจากดีลซื้อธุรกิจบางส่วนของ The Weather Company เมื่อปี 2015 ที่มูลค่าราว 2 พันล้านดอลลาร์ โดยดีลดังกล่าวประกอบด้วยส่วนธุรกิจ B2B (Business-to-Business), เว็บไซต์ Weather.com และแอปมือถือ แต่ไม่รวมช่องโทรทัศน์ The Weather Channel ที่ดีลนี้มีข้อตกลงว่าช่องโทรทัศน์จะต้องจ่ายไลเซนส์ค่าใช้ข้อมูลต่อไป ดีลนี้เกิดจาก IBM ต้องการสนับสนุนการใช้โครงสร้างคลาวด์ของบริษัท เพื่อลดต้นทุนดำเนินงาน เนื่องจากส่วนธุรกิจนี้สร้างข้อมูลพยากรณ์อากาศมากกว่า 2.5 หมื่นล้านชุดต่อวัน การขายกิจการส่วนนี้ เป็นส่วนหนึ่งตามแผนปรับโครงสร้างธุรกิจของ IBM ซึ่งที่เห็นชัดเจนคือการแยกธุรกิจดูแลโครงสร้างพื้นฐานไอที Kyndryl เมื่อปี 2021 ที่มา: The Wall Street Journal
# Supabase โอเพนซอร์ส Edge Runtime ทำงานได้ตรงกับคลาวด์ Supabase เปิดซอร์สโครงการ Edge Runtime ที่เคยให้บริการ Edge Function อยู่ก่อนแล้ว ทำให้นักพัฒนาสามารถพอร์ตโค้ดไปรันเองได้นอกแพลตฟอร์ม Supabase เอง ภายในของ Edge Runtime เป็น Deno แทบทั้งหมด แต่เพิ่มเว็บเซิร์ฟเวอร์ที่เขียนด้วย Rust เข้ามา โดยตัว Deno เองถูกตัด API ออกไปบางส่วน และสามารถจำกัดการใช้หน่วยความจำและระยะเวลารันได้เหมือนในคลาวด์ ทำให้นักพัฒนามั่นใจได้ว่าพฤติกรรมรันไทม์จะตรงกัน นักพัฒนาสามารถเขียนฟังก์ชั่นด้วย TypeScript, JavaScript, หรือภาษาอื่นๆ ผ่านทาง WASM ได้ทั้งหมด หลายปีที่ผ่านมาผู้ให้บริการคลาวด์ต้องมีบริการ serverless เพื่อให้บริการประมวลผลแบบคิดค่าบริการตามจริง แต่คลาวด์แต่ละรายมักมีรันไทม์เป็นของตัวเองทำให้พอร์ตโค้ดไปใช้งานที่อื่นได้ยาก แนวทางการโอเพนซอร์สรันไทม์ออกมาก็เป็นแนวทางสำคัญที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจใช้งานได้ง่ายขึ้น เช่นปีที่แล้ว Cloudflare ก็เปิดโครงการ workerd ของ Cloudflare Workers เช่นกัน ที่มา - Supabase
# NPR และ PBS ยุติการใช้ Twitter หลังถูกแปะป้ายผิดประเภท ว่าเป็นสื่อที่ได้ทุนจากรัฐบาล องค์กรสื่อสาธารณะรายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา 2 แห่งคือ National Public Radio (NPR) และ Public Broadcasting Service (PBS) ประกาศหยุดใช้งาน Twitter แล้ว หลังถูกแปะป้ายว่าเป็นสื่อที่ได้รับเงินทุนจากรัฐบาล (Government-funded Media) Twitter ยุค Elon เพิ่งเพิ่มป้าย Government-funded Media เข้ามาเพื่อบ่งบอกว่าได้เงินทุนจากรัฐบาล แต่กลับใช้ป้ายเหล่านี้กับสื่อสาธารณะ (public broadcasting) ที่ไม่ได้เงินจากรัฐโดยตรงด้วย เช่น BBC, PBS, NPR สร้างความไม่พอใจให้สื่อเหล่านี้ ที่มีสถานะเป็นอิสระและไม่ถูกกำกับดูแลโดยรัฐบาล ("government" ไม่ใช่ "state") Elon Musk เพิ่งให้สัมภาษณ์กับ BBC และยอมรับว่าการแปะป้ายของ Twitter ไม่ถูกต้อง พร้อมสัญญาว่าจะเปลี่ยนป้ายของ BBC เป็น "ได้รับทุนจากสาธารณะ" (publicly-funded) แต่ตอนนี้ยังไม่ได้เปลี่ยน และไม่ระบุว่าจะเปลี่ยนเมื่อไร อัพเดต ล่าสุดเปลี่ยนป้ายให้แล้ว แต่เปลี่ยนเฉพาะ BBC NPR เป็นสื่อสาธารณะรายแรกที่ประกาศหยุดโพสต์ข่าวลงบัญชี Twitter ทั้งหมด 52 บัญชี เพื่อประท้วง Twitter เรื่องการแปะป้ายผิดประเภท โดย John Lansing ซีอีโอของ NPR ระบุว่าแม้ Twitter เปลี่ยนป้ายแล้ว ทาง NPR ก็จะยังไม่กลับมาโพสต์ในทันที เพราะเสียความเชื่อมั่นต่อ Twitter ไปแล้ว จึงอยากขอดูก่อนว่า Twitter จะกลับมาทำตัวน่าเชื่อถือได้อีกหรือไม่ ส่วน PBS ก็ยืนยันว่าหยุดโพสต์อัพเดตลง Twitter แล้ว หลังพบปัญหาเรื่องป้ายผิดประเภท พร้อมบอกว่าจะไม่กลับไปใช้ Twitter แล้วเช่นกัน รายได้ของ NPR และ PBS มาจากหลายทาง โดยส่วนหนึ่งได้มาจาก Corporation for Public Broadcasting (CPB) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐที่ได้รับงบประมาณจากสภาคองเกรส (แต่ไม่ใช่จากรัฐบาล), เงินสนับสนุนจากสมาชิกในเครือข่ายช่องทีวี-วิทยุท้องถิ่น และเงินบริจาคจากภาคเอกชน กรณีของ Thai PBS ในประเทศไทยก็ได้ต้นแบบแนวทางการเป็นสื่อสาธารณะที่ไม่อยู่ใต้กำกับรัฐบาล จากทั้ง PBS และ BBC แม้แหล่งที่มาของเงินอาจแตกต่างกัน โดย Thai PBS ได้เงินจากภาษีเหล้าและยาสูบ ที่มา - NPR, Axios
# Spotify ร่วมมือกับ Strava เพิ่มความสามารถฟังเพลงได้ผ่าน Strava โดยตรง ไม่ต้องสลับแอปไปมา Spotify แอปฟังเพลงสตรีมมิ่ง ประกาศความร่วมมือกับ Strava แอปเก็บข้อมูลการออกกำลังกาย เปิดตัวฟีเจอร์ที่น่าจะมีนานแล้ว แต่ก็เพิ่งมีเป็นทางการนั่นคือการเชื่อมต่อเพลงจาก Spotify ในแอป Strava โดยตรง ฟีเจอร์นี้ทำให้ผู้ใช้งาน Strava สามารถสั่งเล่นเพลงและควบคุมเพลงได้โดยตรงผ่านแอป Strava ได้เลย ทำให้ไม่ต้องสลับแอปใช้งานไปมานั่นเอง Ian Geller รองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ Spotify บอกว่า เป้าหมายใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของบริษัท คือไปอยู่ในทุกที่ ที่ผู้ใช้งานของเราอยู่ ซึ่งหมายถึงขณะที่พวกเขาวิ่ง อยู่ในฟิตเนส หรือที่ไหนก็ตาม ด้วยการเชื่อมต่อกับ Strava ก็จะทำให้เพลงตามไปกับพวกเขาได้อย่างสะดวกขึ้น ที่มา: Spotify ผ่าน The Verge
# Apple กำลังเจรจาเพื่อตั้งโรงงาน MacBook ในประเทศไทย เว็บไซต์ Nikkei Asia รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า แอปเปิลกำลังเจรจากับบรรดาซัพพลายเออร์ เพื่อเตรียมตั้งสายการผลิต MacBook ในประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกจากจีน ในรายงานไม่ได้ระบุชื่อซัพพลายเออร์ แต่บอกว่าเป็นโรงงานที่ตั้งอยู่ในประเทศอยู่แล้ว และมีการผลิต-ประกอบสินค้าให้กับแบรนด์อื่นด้วย โดยเปิดเผยว่าข้อเสนอแรกแอปเปิลต้องการให้ไปสร้างโรงงานผลิตที่เวียดนาม แต่ซัพพลายเออร์ดังกล่าวเสนอว่าน่าจะตั้งฐานการผลิตที่ไทย เนื่องจากมีพื้นที่และสถานที่อยู่แล้ว โดยคาดว่าจะก่อสร้างสายการผลิตได้เสร็จภายในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลจากแหล่งข่าวว่า MacBook ไม่ใช่สินค้าแอปเปิลแรกที่จะผลิตในไทย แต่ Apple Watch มีการผลิตในไทยบางส่วนมามากกว่า 1 ปีแล้ว (เพิ่มเติมจากความเห็น: มีอีกหลายสินค้าเช่น iMac, HomePod) ตามแผนการเดิมของแอปเปิลนั้น บริษัทจะเริ่มผลิต MacBook ในเวียดนามภายในครึ่งแรกของปีนี้ ซึ่งก่อนหน้านี้เวียดนามมีโรงงานผลิต AirPods, Apple Watch, iPad บางส่วนอยู่ก่อนแล้ว ที่มา: Nikkei Asia
# VLC รองรับ RTX Video Super Resolution อัพสเกลวิดีโอของ NVIDIA เราเห็น NVIDIA ออกฟีเจอร์ RTX Video Super Resolution (VSR) ช่วยอัพสเกลวิดีโอสำหรับการเล่นผ่านเว็บเบราว์เซอร์ กันมาแล้ว ล่าสุดฟีเจอร์ VSR ใช้งานกับแอพเล่นวิดีโอยอดนิยม VLC ได้แล้วเช่นกัน ตัวเทคนิคเบื้องหลังยังทำงานเหมือนกัน คือใช้ฟีเจอร์ AI ของจีพียู (Tensor Core) ช่วยอัพสเกลวิดีโอให้ความละเอียดสูงขึ้น โดยที่ภาพยังคมชัดอยู่ การใช้งานจำเป็นต้องใช้ VLC 3.0.19 เวอร์ชันแยก RTX Beta ด้วย ยังไม่อยู่ใน VLC เวอร์ชันหลัก และเปิดใช้งานฟีเจอร์ VSR ใน NVIDIA Control Panel ก่อน ที่มา - NVIDIA, Neowin, Wccftech
# [ลือ] iPhone 15 Pro ยกเลิกแผนใช้ปุ่มแบบ Solid-State เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค ก่อนหน้านี้มีรายงานข่าวจาก Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์ขาประจำสินค้าใหม่แอปเปิลว่า iPhone รุ่นใหม่ของปีนี้หรือ iPhone 15 ในรุ่น Pro จะเปลี่ยนมาใช้ปุ่มด้านข้างแบบสัมผัสไม่ขยับ (Solid-State Button) ซึ่งจะเปลี่ยนทั้งปุ่มปรับเสียง และปุ่ม Power เป็นแบบสัมผัสด้วย Taptic Engines แต่ล่าสุดก็ Kuo คนเดิม บอกว่าแอปเปิลระงับแผนเปลี่ยนปุ่มสำหรับ iPhone 15 Pro แล้ว Kuo บอกว่าแอปเปิลพบปัญหาทางเทคนิคที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ก่อนจะเริ่มเข้าสายการผลิตหลัก ทำให้แอปเปิลตัดสินใจเปลี่ยนกลับมาใช้ปุ่มแบบเดิมไปก่อน ซึ่งต้องปรับการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่ไม่น่าจะใช้เวลานานมากนักจนกระทบกับแผนเปิดตัวและจำหน่ายสินค้า ข้อมูลนี้สอดคล้องกับนักวิเคราะห์จาก Haitong International Securities ซึ่งบอกว่าปุ่ม Solid-State นี้ ถูกเลื่อนแผนใช้งานออกไปเป็นปีหน้าสำหรับ iPhone 16 ซึ่งข่าวดังกล่าวเป็นลบกับ Cirrus Logic และ AAC Technologies ที่เป็นสองบริษัทซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ผลิตปุ่มดังกล่าวให้แอปเปิล ที่มา: MacRumors
# Android 14 Beta 1 เพิ่มการจำกัด Accessibility นอกสโตร์ไม่ให้เข้าถึงข้อมูลสำคัญ กูเกิลออก Android 14 Beta 1 หลังออกรุ่น Developer Preview มาแล้วสองรุ่น โดยมีของใหม่ดังนี้ ปรับหน้าตาของปุ่ม Back ที่ปรากฏบนจอ ตอนสั่งงานด้วย gesture โดยจะรองรับธีมสีของระบบด้วย Share Sheet เพิ่ม custom action ให้แอพสามารถสร้างปุ่มเองได้ จากภาพตัวอย่างคือ Google Photos เพิ่มปุ่ม Create Album แอพสามารถจำกัดสิทธิการเข้าถึงของตัวช่วย accessibility services จากนอก Play Store ไม่ให้เห็นข้อมูลสำคัญๆ ภายในแอพ (เช่น รหัสผ่าน ข้อมูลส่วนตัว) รวมถึงปิดกั้นไม่ให้ accessibility services กดปุ่มสำคัญๆ (เช่น โอนเงิน หรือกดซื้อของ) โดยฝั่งแอพต้องเป็นผู้จำกัดสิทธินี้เองผ่านการใส่ค่า accessibilityDataSensitive ก่อน กูเกิลมีแผนจะออก Android 14 Beta อย่างน้อย 4 เวอร์ชัน ก่อนออกตัวจริงในช่วงไตรมาส 3 ที่มา - Android Developers
# HBO Max รีแบรนด์เป็น Max หลังควบรวมกับ Discovery+ เป็นสตรีมมิ่งตัวเดียว Warner Bros. Discovery ประกาศรวมร่างบริการสตรีมมิ่งในเครือ HBO Max และ Discovery+ เข้าเป็นตัวเดียว ใช้ชื่อใหม่ว่า Max ตรงตามข่าวลือก่อนหน้านี้ HBO Max เป็นสตรีมมิ่งสายหนังและซีรีส์ของ Warner Bros. ส่วน Discovery+ เป็นสตรีมมิ่งสายไลฟ์สไตล์ของ Discovery เมื่อทั้งสองบริษัทควบรวมกิจการกันในปี 2022 ก็ถึงเวลาต้องควบรวมสตรีมมิ่งเข้าด้วยกันเป็นตัวเดียว ค่าบริการของ Max มีทั้งหมด 3 แพ็กเกจ ได้แก่ Max Ad-Lite ราคา $9.99/เดือน Max Ad Free ราคา $15.99/เดือน รองรับการดูแบบออฟไลน์ Max Ultimate Ad Free ราคา $19.99/เดือน รองรับการดูแบบ 4K Max จะเริ่มให้บริการภายใต้ชื่อใหม่วันที่ 23 พฤษภาคม 2023 และยังมีเฉพาะในตลาดสหรัฐอเมริกาเท่านั้น เนื้อหาเด่นของ Max ที่เพิ่งประกาศทำคือ Harry Potter เวอร์ชันซีรีส์ที่จะได้ J.K. Rowling มาร่วมผลิตด้วย และ Knight of the Seven Kingdoms: The Hedge Knight ซีรีส์ในจักรวาล Game of Thrones ที่มา - Warner Bros. Discovery
# NVIDIA โอเพนซอร์ส RTX Remix เครื่องมือม็อดเกมเก่าตอนรันไทม์ รีมาสเตอร์กราฟิกใหม่ ปีที่แล้ว NVIDIA เปิดตัวซอฟต์แวร์ชื่อ RTX Remix เป็นการนำเกมเก่าๆ มาแกะ asset พวกไฟล์ภาพ-โมเดลในเกม แล้วสามารถเปลี่ยน asset ของใหม่เข้าไปใส่ในตอนรัน ถือเป็นวิธีการใหม่ในการม็อดเกมหรือรีมาสเตอร์เกมเก่า โดยไม่ต้องยุ่งกับเอนจินของเกม ในกรณีที่เกมไม่ได้เปิดทางให้ม็อดได้แต่แรก NVIDIA ใช้ RTX Remix ดัดแปลงเกม Portal ของ Valve ให้เป็นเวอร์ชันกราฟิกความละเอียดสูง และรองรับเทคนิค Ray Tracing/DLSS3 ตามแนวทางเกมสมัยใหม่ โดยหลังจากเปิดตัว ก็มีชุมชนนักม็อดนำเครื่องมือตัวนี้ไปดัดแปลงเกมเก่าหลายเกม เช่น Half-Life 2, Max Payne, SWAT 4 ให้ภาพสวยขึ้นกว่าเดิม (ดูภาพตัวอย่างเปรียบเทียบ) ล่าสุด NVIDIA โอเพนซอร์ส RTX Remix เผยแพร่บน GitHub ตามสัญญา โดยใช้สัญญาอนุญาต MIT license ที่เปิดกว้างมาก เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนนักม็อดเกมนำไปดัดแปลงต่อให้กว้างขวาง ชุดเครื่องมือ RTX Remix มีทั้งส่วน capture ไฟล์ asset เก่าในเกม, Bridge สำหรับแปลงคำสั่ง x86 มารันบนซีพียูรุ่นใหม่ที่เป็น x86-64 และรองรับแรมเยอะขึ้น, Scene manager ตัวสร้างฉากขึ้นมาใหม่ เป็นต้น ที่มา - NVIDIA
# ฝันที่เป็นจริง OBS Studio รองรับการสตรีมวิดีโอ AV1 ความละเอียด 4K 60fps บน YouTube OBS Studio ซอฟต์แวร์สตรีมวิดีโอชื่อดัง รองรับการเข้ารหัสวิดีโอแบบ AV1 มาสักระยะหนึ่งแล้ว ล่าสุดใน OBS Studio 29.1 Beta รองรับการสตรีมวิดีโอ AV1/HEVC (H.265) ผ่านโปรโตคอล Real-Time Messaging Protocol (RTMP) ทำให้สามารถสตรีมขึ้นเผยแพร่บน YouTube ได้แล้ว การสตรีมวิดีโอแบบ AV1 ที่ใช้การเข้ารหัสมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่ายุคก่อนราว 60% ส่งผลให้การสตรีม 4K 60fps เกิดขึ้นได้จริง OBS Studio รองรับ AV1 กับจีพียูทั้ง 3 ค่ายใหญ่ แต่ NVIDIA ก็ระบุว่าทำงานอย่างใกล้ชิดกับ OBS และ YouTube เพื่อให้การ์ดจอ GeForce RTX ซีรีส์ 40 สามารถสตรีม AV1 ได้อย่างราบรื่น ตอนนี้ฟีเจอร์สตรีม AV1 ยังมีสถานะเป็น Beta ทั้งฝั่ง OBS และ YouTube ที่มา - OBS Studio, OBS Pull Request, NVIDIA
# TikTok เปิดให้สร้างวิดีโอสติกเกอร์ GIF ใช้ส่ง DM ถึงกันได้ TikTok เปิดตัวฟีเจอร์สติกเกอร์ GIF ที่ให้ผู้ใช้สามารถนำคลิปวิดีโอใน TikTok มาสร้างเป็นสติกเกอร์เพื่อเพิ่มความสนุกในการส่ง DM หาเพื่อน โดยต่อยอดมาจากก่อนหน้านี้ที่ TikTok เปิดให้สร้างสติกเกอร์แบบ GIF ผ่านการอัปโหลดรูปภาพหรือคลิปวิดีโอ ขั้นตอนในการสร้างสติกเกอร์จากคลิปวิดีโอที่มีอยู่เพียงแค่ไม่กี่ขั้นตอน เริ่มแรกกดเข้าไปหน้าแชท และกดเลือกที่สติกเกอร์ คลิกไปที่ Create New Stickers โดยวิดีโอที่นำมาสร้างเป็นสติกเกอร์สามารถเลือกได้จากหลายช่องทางเช่น คลิปวิดีโอที่เรากด Like, Post หรือ Favorites ไว้ใน TikTok ซึ่งคลิปวิดีโอเราเลือกสามารถนำมาปรับขนาดหรือตัดเลือกส่วนที่เราต้องการได้ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มข้อความลงไปในสติกเกอร์ได้เช่นกัน เมื่อทำเสร็จแล้วก็เลือกว่าจะบันทึกสติกเกอร์ที่สร้างลงใน Sticker Store เพื่อเปิดให้ผู้อื่นสามารถค้นหาและใช้สติกเกอร์วิดีโอนี้ได้หรือกดปิดเพื่อใช้ส่วนตัว แต่ถ้าใครไม่อยากสร้างวิดีโอสติกเกอร์เองก็สามารถเลือกจากสติกเกอร์ที่คนอื่นสร้างภายในแอปฯ ได้ TikTok พัฒนาฟีเจอร์นี้ขึ้นมาเพื่อต้องการให้ผู้ใช้เกิดการสื่อสารภายใน DM ของ TikTok มากขึ้น โดยถ้าเทียบกับแพลตฟอร์มคู่แข่งอย่าง WhatsApp, Messenger และ Instagram ก็มีสติกเกอร์ที่ผู้ใช้สามารถส่งถึงกันได้ จึงไม่แปลกใจที่ TikTok เพิ่มฟีเจอร์นี้ขึ้นมาโดยต่อยอดจากจุดเด่นของแอปฯ ในเรื่องของวิดีโอ ที่มา: Techcrunch
# เพลงธีมจาก Super Mario Bros. ของ Koji Kondo ได้รับการบันทึกเข้าหอสมุดเพลงแห่งชาติประจำปีนี้ หอสมุดเพลงแห่งชาติ (National Recording Registry) ของอเมริกา ประกาศ 25 ผลงานเพลง ที่ได้รับการเก็บบันทึกในฐานะข้อมูลทางวัฒนธรรมประจำปี 2023 โดยไฮไลท์คือมีเพลงจากวิดีโอเกมได้รับการบรรจุเป็นปีแรก คือ Ground Theme เพลงธีมของเกม Mario ซึ่งปรากฏครั้งแรกในเกม Super Mario Bros. เครื่อง Famicom (NES) ฉาก 1-1 ปี 1985 Ground Theme เป็นผลงานการประพันธ์ของ Koji Kondo นักแต่งเพลงของนินเทนโด ที่มีผลงานเพลงประกอบอีกหลายเกมนอกจากเกมตระกูล Mario อย่างเช่น The Legend of Zelda, Super Smash Bros. เพลงอื่นที่ได้รับการเก็บบันทึกในหอสมุดปีนี้ เช่น Like a Virgin แห่ง Madonna หรือ All I Want for Christmas Is You ของ Mariah Carey ที่มา: Library of Congress ผ่าน The Verge
# เปิดตัว GeForce RTX 4070 เดสก์ท็อป 599 ดอลลาร์, แรงกว่า 3070 Ti สองเท่า กินไฟน้อยกว่า NVIDIA เปิดตัวจีพียู GeForce RTX 4070 สำหรับเดสก์ท็อปที่รอกันมานาน (จน 4070 โน้ตบุ๊กออกแซงหน้าไปแล้ว) ในราคา 599 ดอลลาร์ ถูกกว่า GeForce RTX 4070 Ti (4080 12GB รีแบรนด์) ที่เปิดตัวมาในเดือนมกราคม ตั้งราคา 799 ดอลลาร์) GeForce RTX 4070 เป็นการ์ดระดับกลาง เน้นเล่นเกมความละเอียด 1440p โดยประสิทธิภาพดีกว่า 3070 Ti ที่เปิดตัว 599 ดอลลาร์เท่ากันถึงสองเท่า โดยที่ใช้พลังงานน้อยกว่า (200W เทียบกับ 290W) และหากเทียบกับ 3080 จะแรงกว่า 1.4 เท่า (ต้องเปิด DLSS3) สเปกของ RTX 4070 คือ CUDA core 5888 คอร์, แรม 12GB GDDR6X ส่วนฟีเจอร์อื่นก็ตามมาตรฐานของสถาปัตยกรรม Ada Lovelace เช่น รองรับ DLSS3, รองรับวิดีโอแบบ AV1 GeForce RTX 4070 มีขายทั้งแบบ Founders Edition และจากผู้ผลิตยี่ห้อต่างๆ เช่น ASUS, Colorful, Gainward, GALAX, GIGABYTE, INNO3D, KFA2, MSI, Palit, PNY, ZOTAC เริ่มขายวันสงกรานต์ 13 เมษายน ที่มา - NVIDIA
# Elon Musk ให้สัมภาษณ์ BBC: Twitter มีสถานะการเงินดีขึ้น แม้การซื้อกิจการนี้จะเจ็บปวดมาก Elon Musk ซีอีโอ Twitter ให้สัมภาษณ์พิเศษกับสำนักข่าว BBC จากสำนักงานใหญ่ของ Twitter ในซานฟรานซิสโก ซึ่งการสัมภาษณ์ได้ถ่ายทอดสดเสียงผ่านทาง Twitter Spaces ด้วย เนื้อหาหลักว่าด้วยชีวิตและการทำงานในช่วงที่ต้องเป็นซีอีโอ Twitter แพลตฟอร์มโซเชียลที่เขาซื้อกิจการมาด้วยมูลค่าถึง 44,000 ล้านดอลลาร์ การซื้อกิจการที่เจ็บปวด Musk ยอมรับว่าการซื้อ Twitter เป็นเรื่องเจ็บปวดมาก อย่างไรก็ตามการดูแล Twitter ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อเลย เพราะมีเหตุการณ์ขึ้นลงเหมือนรถไฟเหาะอยู่ตลอด เขายอมรับว่าที่ต้องซื้อ Twitter เพราะศาลสั่งให้เขาต้องซื้อกิจการ ถึงแม้การซื้อกิจการอาจไม่เต็มใจนัก แต่ Musk ก็บอกว่าเขายังรู้สึกทำถูกต้องแล้วที่ซื้อ Twitter มา เมื่อพูดถึงการทำงานที่หนัก Musk บอกว่าบางวันเขาก็นอนที่สำนักงานเลย โดยมีโซฟาที่อยู่มุมหนึ่งในห้องสมุดเป็นที่นอนประจำ เพราะไม่ค่อยมีคนเดินไปตรงนั้น การเงิน และการปลดพนักงาน Musk พูดถึงการสั่งปลดพนักงานจำนวนมาก ในทันทีที่เขาซื้อ Twitter โดยบอกว่าตัวเลขคือจากพนักงานประมาณ 8,000 คน ตอนนี้เหลืออยู่ประมาณ 1,500 คน สิ่งที่เขากังวลในช่วงแรก คือในพนักงานที่ออกไปนั้นมีวิศวกรระบบอยู่พอสมควร ทำให้แพลตฟอร์มเกิดปัญหาล่มหลายครั้ง แต่ทุกครั้งไม่ได้กินเวลานานนัก ก็กลับมาทำงานได้ตามปกติ ผลจากการปลดพนักงานจำนวนมากนี้ Musk บอกว่าสถานะการเงินตอนนี้อยู่ในระดับที่เริ่มคุ้มทุนแล้ว (Break Even) จากก่อนหน้านี้ Twitter มีผลประกอบการขาดทุนต่อเนื่อง Musk บอกว่าในวันที่เขาซื้อ Twitter บริษัทมีรายได้ปีละ 3,000 ล้านดอลลาร์ แต่มีค่าใช้จ่ายปีละ 6,000 ล้านดอลลาร์ หนี้สินค้างจ่ายอีก 1,500 ล้านดอลลาร์ ขณะที่เงินสดในธนาคารมี 1,000 ล้านดอลลาร์ ด้วยสถานะตอนนั้นถ้าไม่ทำอะไร 4 เดือน Twitter ก็ต้องล้มละลาย อนาคต, TikTok และ BBC Elon Musk เคยบอกว่าเขาไม่ได้ต้องการเป็นซีอีโอ Twitter นานนัก โดยพูดถึงประเด็นนี้ว่า เขามองทั้งโอกาสในการขายกิจการหากมีคนที่เหมาะสมมาขอซื้อ หรืออาจจะเปลี่ยนซีอีโอ แต่เขายังไม่มีใครในความคิดที่จะมารับตำแหน่งนี้ Musk ยังพูดติดตลกว่าจริง ๆ ตอนนี้เขาไม่ใช่ซีอีโอ Twitter แต่สุนัขของเขา Floki ต่างหาก ที่เป็นซีอีโอ Twitter อยู่ เมื่อพูดถึงประเด็นที่รัฐบาลสหรัฐ พยายามกดดันแบน TikTok ตอนนี้ว่า ก็น่าจะเป็นเรื่องดีของ Twitter เพราะคนจะย้ายมาใช้เวลาบนนี้มากขึ้น แต่ถ้ารัฐบาลจะแบน TikTok เพื่อสนับสนุนแพลตฟอร์มอื่นรวมถึง Twitter แบบนี้เขาก็ไม่เห็นด้วย สุดท้ายผู้สื่อข่าว BBC ถามถึงประเด็นป้ายกำกับบัญชี @BBC ที่ระบุว่าเป็นสื่อที่ได้รับทุนจากรัฐบาล ซึ่ง BBC ชี้แจงว่าไม่ถูกต้อง Musk บอกว่าเขาจะปรับเป็นคำว่า ได้รับทุนจากสาธารณะ (publicly-funded) พร้อมบอกว่า Twitter จะพยายามทำทุกอย่างให้ถูกต้องมากที่สุด ที่มา: BBC และ The Wall Street Journal
# FerretDB ฐานข้อมูลใช้แทน MongoDB ออกเวอร์ชั่น 1.0 FerretDB ระบบฐานข้อมูลที่ใช้งานแทน MongoDB ออกเวอร์ชั่น 1.0 พร้อมใช้งานจริง โดยโครงการสามารถใช้งานแทน MongoDB ได้เกือบเต็มรูปแบบแม้จะมีความต่างกันในจุดเล็กๆ น้อยๆ หลายจุด ตัว FerretDB เปิดตัวโครงการเมื่อปลายปี 2021 หลังจากทาง MongoDB เปลี่ยนไลเซนส์ จาก AGPLv3 ไปเป็น SSPL ซึ่งทำให้การใช้งานเพื่อบริการคลาวด์ทำแทบไม่ได้ ตัวโครงการเดิมของ FerretDB เคยใช้ชื่อ MangoDB แต่ก็มีเสียงเตือนกันหนักว่าเป็นการตั้งชื่อให้คนสับสน จึงเปลี่ยนมาเป็น FerretDB ในที่สุด FerretDB ไม่ใช่ฐานข้อมูลเต็มรูปแบบในตัวเอง แต่อาศัยระบบฐานข้อมูลอื่นทำงานหลังบ้านอีกที โดยระบบฐานข้อมูลหลักที่ใช้งานคือ PostgreSQL ที่มีฟีเจอร์ JSONB ในตัวอยู่แล้ว การใส่ FerretDB บังเอาไว้ทำให้แอปพลิเคชั่นสามารถเชื่อมต่อด้วยไคลเอนต์เดิม FerretDB รองรับฟีเจอร์ของ MongoDB จนถึงเวอร์ชั่น 6.0 ขึ้นไป นอกจากการใช้ PostgreSQL แล้วทางโครงการก็ยังมีแนวทางจะเพิ่มเอนจินอื่นๆ เช่น Tigris, SAP HANA, และ SQLite ที่มา - FerretDB
# [ลือ] Ming-Chi Kuo บอกว่า Apple มีแผนผลิตจอ Mini-LED ขนาด 27 นิ้ว ปี 2024-2025 Ming-Chi Kuo นักวิเคราะห์สายซัพพลายเปิดเผยว่าหน้าจอตระกูล Display ของ Apple ขนาด 27 นิ้ว ที่เป็น Mini-LED จะเริ่มผลิตแบบแมสและวางจำหน่ายในช่วงปี 2024-2025 Kuo บอกด้วยว่า Apple Display จะมีวัสดุระดับ high-end โดยนอกจากแพแนลจอที่เป็น Mini-LED แล้ว ตัว backplane ที่จากเดิมเป็น PCB backplane ใน iPad Pro (จอ Mini-LED เหมือนกัน) จะถูกเปลี่ยนเป็น backplane แบบกระจก ซึ่งทำให้ได้แพเนลและขอบจอที่บางลง รวมถึงช่วยยืดอายุการใช้งานให้นานขึ้น ซึ่งข่าวลือนี้ตรงข้ามกับรายงานของ Ross Young ซีอีโอของบริษัทวิเคราะห์ด้านซัพพลายเชนหน้าจอ ที่กล่าวว่า Apple ได้ยุติการพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มหน้าจอ อย่างน้อยก็ในตอนนี้ (for now) โดยก่อนหน้านี้ Young เคยให้ข้อมูลว่าหน้าจอ Display รุ่นใหม่ของ Apple จะรองรับ ProMotion (รีเฟรชเรท 120Hz) ที่มา - MacRumors (1, 2)
# 9Near ยอมรับ ซื้อข้อมูลคนไทยมาจาก Dark Web ราคา 8,000 บาท แต่ไม่ถึง 55 ล้านรายการ เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท) แถลงว่าสามารถจับกุมตัวแฮกเกอร์ 9Near ที่โพสต์ขายข้อมูลคนไทย 55 ล้านรายการ ได้แล้ว โดยเจ้าตัวเข้ามามอบตัวกับตำรวจ ขณะที่ข้อมูลคนไทย เจ้าตัวยอมรับว่าซื้อมาจาก Dark Web ในราคาเพียง 8,000 บาท แต่ได้มาไม่ถึง 55 ล้านรายการ พร้อมยืนยันว่าข้อมูลยังไม่ได้รั่วไหลไปไหน ส่วนการโพสต์ขายนั้น เพียงเพราะอยากรู้เท่านั้น ตำรวจไซเบอร์ชี้แจงด้วยว่าจ่าสิบโทคนดังกล่าว เรียนจบปริญญาตรี คณะสารสนเทศ ทำให้มีความรู้ด้านนี้เป็นอย่างดี ขณะที่ภรรยาที่เบื้องต้นตกเป็นผู้ต้องสงสัยร่วมกระทำความผิด หลังการสอบปากคำก็พบว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ที่มา - ThaiPBS
# ผู้ช่วยผู้กำกับเผย Diablo IV จะมีอัพเดตเนื้อเรื่องทุกๆ 3 เดือน ที่ผ่านมาเกมตระกูล Blizzard จะมีอัพเดตใหญ่แค่ Expansion Pack ที่เป็นโลกและเนื้อ (Act) รวมถึงอาชีพตัวละครเพิ่มมาอย่างละ 1 แต่ล่าสุดดูเหมือน Diablo IV จะมีแนวทางใหม่ คือได้อัพเดตเนื้อเรื่องทุกๆ 3 เดือน นิตยสาร Game Informer ได้พูดคุยกับ Joe Piepiora ผู้ช่วยผู้กำกับเกม Diablo IV ระบุว่าตัวเกมจะได้รับอัพเดตเนื้อเรื่องใหม่ทุกๆ 3 เดือน ซึ่งจะสอดคล้องไปกับแมคคานิคและฟีเจอร์ใหม่ที่จะมาในอัพเดตนั้นๆ ซึ่งอัพเดตนี้จะมาพร้อมกับการอัพเดต seasonal battle pass ตามปกติ ที่มา - Game Informer via GameSpot
# นี่คือสัญญาณ? โซนี่เริ่มรับวิศวกรทำคลาวด์เกมมิ่งเพิ่มเติม หลังดอง PlayStation Now มานาน โซนี่เป็นบริษัทเกมรายแรกๆ ที่มีบริการคลาวด์เกมมิ่งคือ PlayStation Now ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2014 (ใช้เทคโนโลยีของ Gaikai ที่ซื้อมาในปี 2012) แต่ช่วงหลังๆ โซนี่กลับพูดถึง PlayStation Now น้อยมาก แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับไมโครซอฟท์ที่พูดถึง xCloud ตลอดเวลา โดยชะตากรรมล่าสุดของ PlayStation Now คือถูกยุบรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ PlayStation Plus เมื่อต้นปี 2022 จากนั้นก็ไม่ค่อยถูกพูดถึงอีกเลย ล่าสุดเว็บไซต์ The Verge ค้นพบว่าโซนี่กำลังจ้างงานวิศวกรฝ่ายคลาวด์เกมมิ่งหลายตำแหน่ง ข้อมูลบนหน้าเว็บตอนนี้คือมีตำแหน่งว่าง 22 ตำแหน่ง ยังไม่รวมกับที่เพิ่งจ้างไปแล้วอีกจำนวนหนึ่ง ตัวอย่างตำแหน่งงานที่เปิดรับช่วงนี้คือ Director of Product Management for Cloud Gaming โดยบอกว่าว่าจะเข้าไปสังกัดทีม Sony Interactive Entertainment’s Future Technology Group (FTG) ที่รับหน้าที่วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ให้บริษัท ตำแหน่งงานเหล่านี้จะไปนั่งทำงานที่เมือง Aliso Viejo สำนักงานเดิมของ Gaikai ด้วย แสดงให้เห็นว่าโซนี่กำลังพยายามปลุกชีพ PlayStation Now กลับมาโดยใช้ฐานเดิมของทีม Gaikai ที่ยังอยู่ และอีกข้อมูลที่น่าสนใจคือ ประกาศหางานระบุว่าจะใช้คลาวด์ AWS ซึ่งแย้งกับข้อตกลงช็อคโลกระหว่างโซนี่กับไมโครซอฟท์ในปี 2019 ว่าโซนี่จะใช้คลาวด์ไมโครซอฟท์ จึงเป็นไปได้สูงว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองบริษัทที่ย่ำแย่ลงมากในช่วงหลัง ทำให้โซนี่ตัดสินใจไปใช้คลาวด์ยี่ห้ออื่นแทน (เคยมีข่าวลือว่าตอนนั้นโซนี่เจรจากับ AWS ไม่ลงตัว จึงไปหาไมโครซอฟท์) The Verge ยังวิเคราะห์ว่าข่าวลือเครื่องเล่นเกมพกพา โค้ดเนม Q Lite ที่บอกว่าใช้เล่นแบบ remote play กับเครื่อง PS5 น่าจะเล่นเกมสตรีมผ่านคลาวด์ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้ Q Lite น่าสนใจขึ้นมาก เพราะรองรับวิธีการเล่นเกมที่หลากหลาย ที่มา - The Verge
# AMD โพสต์หยาม NVIDIA ว่าการ์ดค่ายเราให้แรมเยอะกว่า แรงกว่า ในราคาที่ถูกกว่า AMD โพสต์บล็อกของบริษัท ชูประเด็นว่าการ์ดจอ Radeon ระดับสูงสำหรับกลุ่มลูกค้า enthusiast (คิดที่ราคา 499 ดอลลาร์ขึ้นไป) ของค่ายตัวเองให้แรมกว่าค่ายคู่แข่ง GeForce เพราะเป็นแรม 16GB ขึ้นไปทั้งหมดแล้ว ในขณะที่บางรุ่นของ NVIDIA ยังให้แรม 8GB อยู่เลย AMD ยังจัดการเปรียบเทียบเบนช์มาร์คของการ์ดสองค่ายที่ราคาไล่เลี่ยกัน เช่น Radeon RX 6800 XT (16GB) ราคา 579 ดอลลาร์ กับ GeForce RTX 3070 Ti (8GB) ราคา 639 ดอลลาร์ ว่าฝั่ง Radeon ชนะหมดในทุกเกมที่นำมาทดสอบ โดยปัจจัยหลักมาจากการให้แรมมากกว่า สอดคล้องกับความต้องการของเกมรุ่นใหม่ๆ ที่ต้องการแรมการ์ดจอมากขึ้นเรื่อยๆ ที่มา - AMD, ExtremeTech
# บริษัท Twitter Inc. ควบรวมกิจการ เป็นส่วนหนึ่งของ X Corp. แล้ว - อาจเป็นการเริ่มต้นสู่ Super App มีผู้พบข้อมูล จากเอกสารในคดีฟ้องร้องที่ศาลแคลิฟอร์เนียระหว่างนักเคลื่อนไหว Laura Loomer กับ Twitter และ Facebook เมื่อวันที่ 4 เมษายน ที่ผ่านมา ระบุตอนหนึ่งว่า "บริษัท Twitter Inc. ได้ควบรวมกิจการ มาเป็นส่วนหนึ่งของ X Corp. และไม่มีบริษัทนี้อีกแล้ว" ปัจจุบัน Twitter เป็นบริษัทนอกตลาดหุ้น หลังการซื้อกิจการของ Elon Musk ทำให้ไม่ต้องรายงานเปิดเผยข้อมูลต่อ SEC หรือ กลต. สหรัฐ หากมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในบริษัท ซึ่งรวมถึงการควบรวม-เปลี่ยนชื่อธุรกิจ แม้การเปลี่ยนชื่อบริษัท อาจไม่ได้ส่งผลต่อบริการ Twitter ในทันที แต่ก็อาจเชื่อมโยงไปถึงคำพูดของ Elon Musk ในอดีต ซึ่งเขาเคยพูดถึงการสร้าง Everything App ที่มีรวมทุกบริการในแอปเดียว (ตอนนั้น Musk ยกตัวอย่าง WeChat ในจีน) โดยให้ Twitter เป็นหนึ่งในบริการในแอปนั้น และ X.com ก็เป็นโดเมนที่เขาเป็นเจ้าของ โดยซื้อคืนมาจาก PayPal ก็ต้องดูกันต่อไปว่าทิศทางจากนี้จะเป็นอย่างไร ที่มา: TechCrunch
# OpenAI เปิดโครงการ Bug Bounty หากพบบั๊กใน AI Chatbot จ่ายเงินให้สูงสุดถึง 20,000$ OpenAI ได้เปิดตัวโปรแกรม Bug Bounty เชิญชวนให้คนเข้ามารายงานบั๊กและช่องโหว่ด้านความปลอดภัยที่พบในระบบซอฟต์แวร์ของบริษัทไม่ว่าจะเป็น ChatGPT และ GPT-4 โดย OpenAI บอกว่ายินดีจะจ่ายเงินเริ่มต้น 200$ (ประมาณ 6,848 บาท) สำหรับช่องโหว่ความรุนแรงต่ำ ไปจนถึง 20,000$ (684,800 บาท) สำหรับช่องโหว่ระดับร้ายแรง สำหรับขั้นตอนการส่งรีพอร์ตและการให้รางวัลทาง Open AI ร่วมมือกับแพลตฟอร์ม Bugcrowd จะระบุว่ารีพอร์ตที่ส่งได้รับรางวัลหรือไม่ ซึ่งตอนนี้มีรายงานที่ได้รับรางวัลไปแล้ว 11 ราย โดยเมื่อเดือนที่แล้ว Greg Brockman ประธานและผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ก็ได้ทวีตข้อความลง Twitter ที่เกี่ยวกับการจ่ายเงินให้กับคนที่พบบั๊กเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ ที่มา: OpenAI
# Apple แนะนำผู้ใช้หูฟัง AirPods ที่ไม่มีอุปกรณ์ Apple เลย หากต้องการอัพเดตเฟิร์มแวร์ ให้ติดต่อ Apple Store แอปเปิลออกอัพเดตเฟิร์มแวร์เวอร์ชัน 5E133 ให้กับผู้ใช้ AirPods 2, AirPods 3, AirPods Max, AirPods Pro รุ่นแรก และ AirPods Pro 2 วันนี้ โดยผู้ใช้งานไม่ต้องทำอะไร เพียงเชื่อมต่อหูฟังกับอุปกรณ์ iOS หรือ Mac ก็จะได้รับการอัพเดตเบื้องหลังอัตโนมัติ ที่ผ่านมาการอัพเดตก็น่าจะทำได้ตามปกติ แต่มีคำถามว่าหากผู้ใช้หูฟัง AirPods นั้น ไม่มีสินค้าอุปกรณ์แอปเปิลอื่น ๆ เลย (จะมีบ้างไหม?) แล้วจะอัพเดตเฟิร์มแวร์ได้อย่างไร แอปเปิลอัพเดตข้อมูลในหน้าซัพพอร์ต สำหรับกรณีดังกล่าวว่าหากผู้ใช้งานไม่มีอุปกรณ์แอปเปิลเพื่ออัพเดตเฟิร์มแวร์เลย ก็ให้ติดต่อที่ Apple Store หรือผู้ให้บริการ AASP เพื่อขอให้ทำการอัพเดตเฟิร์มแวร์ให้ได้เช่นกัน ทั้งนี้กรณีของหูฟัง Beats จะไม่มีปัญหาดังกล่าว เนื่องจากในระบบปฏิบัติการ Android มีแอป Beats โดยเฉพาะสำหรับการอัพเดตเฟิร์มแวร์ ที่มา: MacRumors
# Elizabeth Holmes ผู้ก่อตั้ง Theranos เตรียมติดคุกวันที่ 27 เมษายนนี้ Elizabeth Holmes ผู้ก่อตั้งบริษัท Theranos สตาร์ทอัพที่หลอกลวงนักลงทุนว่าสามารถวิเคราะห์โรคได้จำนวนมากจากเลือดเพียงหยดเดียว เตรียมติดคุกจริงวันที่ 27 เมษายนนี้ หลังจากศาลอุทธรณ์ระบุว่ากระบวนการอุทธรณ์ไม่น่าทำให้คดีพลิกแต่อย่างใด จึงยืนยันให้เธอเข้าคุกตามที่ได้ตัดสินโทษไว้แม้จะมีการยื่นอุทธรณ์ กระบวนการอุทธรณ์น่าจะกินเวลาอีกอย่างน้อยหนึ่งปี ฝ่ายอัยการระบุว่า Holmes มีความเสี่ยงที่จะหนีคดีเพราะเธอจองตั๋วขาเดียวไปเม็กซิโกระหว่างการพิจารณาคดี แม้ว่า Holmes ระบุว่าเป็นการไปร่วมงานแต่งงาน และจองตั๋วไปเพราะคาดว่าจะได้รับการยกฟ้อง Sunny Balwani ผู้บริหารของ Theranos ที่ถูกตัดสินโทษจำคุก 13 ปีตั้งแต่ปีที่แล้วก็อยู่ระหว่างการขอเลื่อนการรับโทษเช่นกัน ที่มา - BBC
# Android เพิ่มฟีเจอร์ auto-archive แบ็คอัพแอพขึ้นคลาวด์ เวลาเนื้อที่ในเครื่องไม่พอ กูเกิลประกาศฟีเจอร์ใหม่ของ Android ชื่อ auto-archive เป็นการแบ็คอัพแอพที่นานๆ ใช้ทีขึ้นคลาวด์ของกูเกิล เพื่อประหยัดเนื้อที่ในเครื่อง กูเกิลบอกว่าผู้ใช้มักลบ (uninstall) แอพเก่า หากต้องการติดตั้งแอพใหม่แล้วพื้นที่สตอเรจไม่พอ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลทั้งหมดในแอพของผู้ใช้ถูกลบไปด้วย ฟีเจอร์ auto-archive ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้ โดยข้อมูลบางส่วนของแอพที่ไม่ค่อยได้ใช้จะถูกส่งขึ้นไปเก็บบนคลาวด์ของกูเกิลแทน แต่ยังคงไอคอนของแอพในเครื่องไว้ พร้อมแปะป้ายรูปก้อนเมฆเพื่อบอกว่าไฟล์อยู่ในคลาวด์ หากคลิกที่แอพก็จะโหลดข้อมูลกลับลงมาในเครื่องให้เหมือนเดิม วิธีนี้ข้อมูลจะไม่หาย และผู้ใช้ยังสามารถติดตั้งแอพใหม่ๆ เพิ่มเติมได้ด้วย ฟีเจอร์นี้เป็นแบบ opt-in คือผู้ใช้ต้องเป็นคนเปิดใช้งานเองเวลาพื้นที่ไม่พอ โดยสามารถประหยัดเนื้อที่ได้เกือบ 60% ของแอพแต่ละตัว การทำ auto-archive นักพัฒนาต้องรองรับแพ็กเกจแบบ App Bundle ของ Google Play ด้วยเท่านั้น ส่วนงานที่เหลือ Google Play จะจัดการให้เอง ที่มา - Android Developers
# Patch Tuesday เมษายน 2023 แก้ไขช่องโหว่ Zero-Day 1 รายการ, ช่องโหว่อื่นอีก 97 รายการ ไมโครซอฟท์ออกแพตช์ความปลอดภัย Patch Tuesday ของเดือนเมษายน 2023 โดยมีรายการสำคัญ เป็นการแก้ไขช่องโหว่ระดับ Zero-Day ที่มีการเปิดเผยรายละเอียดแล้ว 1 รายการ และแก้ไขช่องโหว่อื่นอีก 97 รายการ จึงควรอัพเดตโดยเร็วที่สุด ในรายการอัพเดตนี้มีแพตช์ช่องโหว่ระดับรุนแรง (Critical) อยู่ 7 รายการ มีผลกับ Microsoft Message Queuing, Windows DHCP Server, Windows Layer 2 Tunneling Protocol, Windows Point-to-Point Tunneling Protocol และ Windows Raw Image Extension ส่วนช่องโหว่ Zero-Day CVE-2023-28252 แก้ไขปัญหาไดรฟ์เวอร์ Windows CLFS ที่ทำให้เข้าถึงสิทธิระดับ SYSTEM ได้ จึงควรอัพเดตโดยเฉพาะผู้ใช้ Microsoft Office ที่มา: ไมโครซอฟท์, BleepingComputer
# แอปอ่านข่าว Artifact เพิ่มระบบคอมเมนต์ และ Upvote / Downvote Artifact แอปอ่านข่าวที่คัดเนื้อหาด้วย AI ของสองผู้ก่อตั้ง Instagram ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เพื่อให้แอปเป็นโซเชียลมากขึ้น โดยเพิ่มระบบคอมเมนต์ โต้ตอบ สนทนา ท้ายข่าวหรือหัวข้อนั้น ๆ Artifact บอกว่าเพื่อให้การสนทนาเป็นไปในเชิงบวกและมีบรรยากาศที่ดีในการสนทนา ระบบจึงมีการให้คะแนนสำหรับแต่ละความคิดเห็นด้วย โดยใช้ปัจจัยหลายอย่างมาคำนวณ ซึ่งรวมทั้งระบบ Upvote / Downvote แต่ละคอมเมนต์ คะแนนนี้จะมีผลผูกพันต่อบัญชีนั้น ๆ สำหรับคอมเมนต์อื่นในอนาคต และช่วยกรองความเห็นจากบัญชีที่ไม่เหมาะสมได้ด้วย ฟีเจอร์ใหม่นี้มีในอัพเดตเวอร์ชันล่าสุดของ Artifact ที่มา: Artifact
# Fitbit ประกาศให้ย้ายบัญชีไปล็อกอินด้วย Google Account ตั้งแต่กลางปีนี้ Fitbit ประกาศเปลี่ยนแปลง ให้ย้ายไปใช้งานบัญชีกูเกิลสำหรับการล็อกอินใช้งาน แทนที่บัญชีของ Fitbit เดิม มีผลตั้งแต่ช่วงฤดร้อนหรือกลางปีนี้ รวมทั้งมีผลกับบัญชีสมัครใหม่ต้องใช้บัญชีกูเกิลเท่านั้น โดยบัญชี Fitbit เดิมจะยังสามารถใช้งานต่อไปได้จนถึงปี 2025 การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ผิดคาดมากนัก เพราะ Fitbit เป็นบริษัทในเครือของกูเกิลอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปี 2021 กูเกิลจูงใจโดยบอกว่าการย้ายมาใช้บัญชีกูเกิล จะได้ระบบบริหารจัดการบัญชีเดียว ร่วมกับบริการอื่นของกูเกิล ที่มีความปลอดภัยในการใช้งานสูง และยืนยันว่าข้อมูลสุขภาพของผู้ใช้ Fitbit จะไม่ถูกนำไปใช้งานกับระบบโฆษณาของกูเกิล ที่มา: 9to5Google
# Apple ประกาศเป็นทางการ เปิด Apple Store ในอินเดียครั้งแรก ถึง 2 สาขาในสัปดาห์หน้า แอปเปิลประกาศกำหนดการเปิด Apple Store ในอินเดียเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการ ซึ่งไม่ได้มาแค่หนึ่งสาขาตามข่าวก่อนหน้านี้ แต่เปิดถึงสองสาขาในสัปดาห์เดียว สาขาแรกคือ Apple BKC ในเมืองมุมไบที่ Jio World Drive กำหนดเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน 2023 เป็นต้นไป มีกิจกรรมพิเศษในวันเปิดตัวคือเซสชัน Today at Apple มาในธีม Mumbai Rising กิจกรรมศิลปะโดยครีเอเตอร์ในมุมไบ สาขาที่สองซึ่งเปิดต่อเนื่องกันในวันที่ 20 เมษายน 2023 คือ Apple Saket ในเมืองนิวเดลี อยู่ใน Select CITYWALK Mall โลโก้ของสาขานี้มาในธีมประตูที่สามารถพบในทั่วเมืองเดลี ที่มา: แอปเปิล
# จีนเตรียมออกกฎการใช้งาน Generative AI ใช้งานด้วยชื่อจริงเท่านั้น, สามารถแบนคอนเทนต์ต้องห้ามในสามเดือน Cyberspace Administration of China (CAC) หน่วยงานกำกับดูแลบริการออนไลน์ของจีนประกาศร่างควบคุมการให้บริการเทคโนโลยี generative AI ไม่ว่าจะเป็นแชตบอทหรือปัญญาประดิษฐ์วาดภาพก็ตาม ประกาศระบุว่า CAC สนับสนุนให้มีการใช้งานปัญญาประดิษฐ์กลุ่มนี้ แต่การใช้งานต้องเข้ากับคุณค่าสังคมนิยมของประเทศ ผู้ให้บริการต้องตรวจสอบข้อมูลที่จะใช้ฝึกปัญญาประดิษฐ์ว่าต้องได้มาอย่างถูกต้อง และระมัดระวังการเหยียดคนบางกลุ่ม ส่วนของการควบคุม ประกาศระบุมาตรการ ตั้งแต่การใช้งานต้องลงทะเบียนด้วยชื่อจริงเท่านั้น และหากมีรายงานว่ามีการสร้างคอนเทนต์ที่ไม่เหมาะสมบริษัทต้องปรับปรุงปัญญาประดิษฐ์ไม่ให้สร้างคอนเทนต์แบบเดียวกันอีกภายในสามเดือน ที่มา - Reuters
# เตรียมดู 'Stranger Things' แบบแอนิเมชันใน Netflix Netflix ได้ประกาศจะสร้างซีรีส์แอนิเมชันจากซีรีส์เรื่องดังอย่าง Stranger Things ถึงแม้ว่ายังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดมากนัก แต่คิดว่าจะมี เอริค โรเบิลส์ผู้สร้าง Glitch Techs และ Fanboy & Chum Chum ร่วมกับ Flying Bark Productions กำลังพัฒนาซีรีส์แอนิเมชันเรื่องนี้ นอกจากนี้ยังมีผู้สร้าง Stranger Things พี่น้องดัฟเฟอร์ และผู้ผลิตชอว์น เลวี ร่วมงานในโปรเจกต์นี้ด้วย “เราได้ฝันถึง Stranger Things ในรูปแบบของการ์ตูนตั้งแต่ตอนเด็กและความฝันนี้เป็นจริงถือว่าน่าทึ่งมาก” สองพี่น้องดัฟเฟอร์กล่าวในงานแถลงการณ์ Stranger Things ต้นฉบับมีการต่อสัญญามาถึงซีซัน 5 และถือว่าเป็นซีซันสุดท้าย แต่ Stranger Things เวอร์ชันแอนิเมชันไม่ใช่แค่โปรเจกต์เดียว แต่คาดว่าจะมีการเปิดตัวเกม VR ภายในปีนี้ รวมไปถึงละครเวที Stranger Things รอบพิเศษก่อนมีกำหนดแสดงปลายปีนี้เช่นกัน เรียกได้ว่าขยายความสำเร็จของ Stranger Things ออกไปให้กว้างมากขึ้นหลังจบซีซันสุดท้ายที่จะฉายในปลายปีนี้ ที่มา: engadget
# เกาหลีใต้ปรับกูเกิล 1 พันล้านบาท ประเด็นบังคับให้แอปเกมลง Play Store เท่านั้น หน่วยงานกำกับดูแลการผูกขาดของเกาหลีใต้ Korea Fair Trade Commission (KFTC) ออกคำสั่งปรับกูเกิลเป็นเงิน 4.21 หมื่นล้านวอน (ประมาณ 1 พันล้านบาท) ในข้อหาพยายามผูกขาดตลาดแอปเกมในประเทศ โดยข้อกล่าวหานี้มาจากช่วงปี 2016-2018 ระบุว่ากูเกิลพยายามกดดันบริษัทผู้พัฒนาและเผยแพร่เกม ให้นำเกมลงเฉพาะ Play Store เท่านั้น ไม่ให้นำไปลง One Store แพลตฟอร์มแอปบน Android ของกลุ่มบริษัทในเกาหลีใต้ ที่ร่วมลงทุนโดย 3 ผู้ให้บริการเครือข่าย SK Telecom, KT และ LG Uplus ร่วมด้วย Naver บริษัทอินเทอร์เน็ตรายใหญ่ ในกระบวนการสอบสวน KFTC พบว่ากูเกิลพยายามให้ข้อเสนอกับผู้พัฒนาเกมรายใหญ่ ในบางกรณีเสนอให้นำเกมออกจาก One Store มาอยู่ที่ Play Store เท่านั้น ซึ่งส่งผลให้ One Store จากที่มีส่วนแบ่งระดับ 15-20% ลดลงมาเหลือเพียง 5-10% ขณะที่ Play Store เพิ่มส่วนแบ่งในเกาหลีใต้เป็นระดับ 90-95% ก่อนหน้านี้กูเกิลเคยถูกสั่งปรับ 2.07 แสนล้านวอน ข้อหาผูกขาดในเกาหลีใต้เมื่อปี 2021 ในประเด็นกีดกันไม่ให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนใช้ Android ปรับแต่งเอง ที่มา: The Korea Herald
# Samsung Display เตรียมลงทุน แสนล้านบาทเพิ่มกำลังผลิตจอ OLED สำหรับแท็บเล็ตและแล็ปท็อป Samsung Display บริษัทลูกของ Samsung Electronics วางแผนลงทุน 4.1 ล้านล้านวอน หรือประมาณแสนล้านบาทในการปรับโครงสร้างสายการผลิตและซื้ออุปกรณ์ในโรงงานของตัวเองที่ตั้งอยู่เมืองอาซาน โดยคาดว่าการลงทุนครั้งนี้จะเพิ่มความสามารถในการผลิตแผงจอแท็บเล็ตขนาด 14.3 นิ้ว เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า 10 ล้านแผงต่อปี จากปัจจุบันที่ผลิตได้ 4.5 ล้านแผง Samsung Display เริ่มหยุดการผลิตแผงจอ LCD ในปีที่แล้ว และเริ่มมุ่งเน้นพัฒนาแผงจอ OLED แบบพรีเมี่ยมซึ่งสามารถนำไปใช้งานกับอุปกรณ์ได้หลากหลายประเภท รวมถึงหน้าจอที่สามารถพับได้ด้วย ทาง Samsung Display มองว่าความต้องการแผง Display จะเพิ่มขึ้นในอนาคต คาดว่าอัตราความต้องการจะเพิ่มปีละ 39% ไปจนถึงปี 2027 เนื่องจากผู้ผลิตแท็บเล็ตและ PC กำลังนำแผง OLED มาใช้กับผลิตภัณฑ์ โดยมีเป้าหมายคือ ผู้บริโภคที่ต้องการให้วิดีโอเกมและบริการอื่นๆ มีคุณภาพจอที่ดีขึ้น แหล่งข้อมูลกล่าวว่า Samsung Display ต้องการสร้างความโดดเด่นในตลาด Display ให้เร็วมากขึ้น จากการลงทุนในครั้งนี้ “อุตสาหกรรมนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ดังนั้นบริษัทจึงเชื่อว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องมีกำลังการผลิตปริมาณที่มากขึ้น เพื่อที่จะสามารถครอบครองตลาดได้เป็นเจ้าแรก” การลงทุนครั้งนี้จะสร้างงานมากถึง 26,000 ตำแหน่ง และนำไปสู่ภาคเศรษฐกิจและช่วยเพิ่มรายได้ให้กับซัพพลายเออร์มากขึ้นในเกาหลีใต้ ฝั่งรัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศสนับสนุนงบประมาณการวิจัยและพัฒนาให้อุตสาหกรรม OLED อีกประมาณ 420,000 ล้านวอนหรือประมาณหมื่นล้านบาท พร้อมกับเตรียมสนับสนุนพัฒนาแรงงานที่เกี่ยวข้องอีก 9,000 คน การลงทุนใน OLED ของ Samsung Display เกิดขึ้นหนึ่งสัปดาห์หลังจาก JOLED บริษัทเทคโนโลยีด้านจอภาพของญี่ปุ่นยื่นล้มละลายที่โตเกียว ด้วยหนี้สินรวม 33.5 พันล้านเยน (8.6 พันล้านบาท) ประมาณ บริษัทก่อตั้งขึ้นจากการรวมกันของธุรกิจ OLED ของ Panasonic และ Sony ในปี 2015 ปัญหาของ JOLED เกิดมาจากของการถดถอยของอุตสาหกรรม Display ของญี่ปุ่น ซึ่งผ่านการปรับเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง เพื่อพยายามแข่งขันกับคู่แข่งจากเกาหลีใต้และจีน ที่มา: Asia, PulseNews
# Alibaba Cloud เปิดตัวปัญญาประดิษฐ์ Tongyi Qianwen ขนาดโมเดล 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ Alibaba Cloud เปิดตัว Tongyi Qianwen ปัญญาประดิษฐ์ภาษาขนาดใหญ่ (large language model - LLM) ที่ขนาดใหญ่ยักษ์ถึง 10 ล้านล้านพารามิเตอร์ เทียบกับ GPT-3 ที่อยู่ระดับแสนล้านพารามิเตอร์เท่านั้น โดยตอนนี้เปิดให้ลูกค้าองค์กรทดสอบวงปิด และเตรียมเพิ่มฟีเจอร์เข้าไปในโปรแกรม DingTalk ที่ใช้สำหรับประชุมออนไลน์ เพื่อสรุปประชุม, เขียนอีเมล, และงานเอกสารอื่นๆ ที่ผ่านมาขนาดโมเดลมักมีผลโดยตรงกับคุณภาพคำตอบของ LLM แต่ในช่วงหลังที่โมเดลมีขนาดใหญ่มากๆ ในงานหลายประเภทก็พบว่าโมเดลขนาดเล็กก็มีคุณภาพที่ดีกว่าได้หากมีข้อมูลและรูปแบบการฝึกโมเดลที่ถูกต้อง เช่น ChatGPT เองก็มีคุณภาพดีกว่า GPT-3 อย่างมากจากการฝึกด้วยการให้คะแนนคำตอบเพื่อให้โมเดลเรียนรู้ที่จะตอบคำถามได้ดีขึ้น แทนที่จะฝึกเดาคำจากข้อความปริมาณมากๆ อย่างเดียว ข้อมูลเกี่ยวกับ Tongyi Qianwen ยังค่อนข้างน้อย หน้าเว็บมีเพียงการลงทะเบียนขอคำเชิญเข้าใช้งานเท่านั้น และตัวปัญญาประดิษฐ์พัฒนาโดย DAMO Academy ที่เป็นหน่วยงานวิจัยของ Alibaba ในแง่ของประสิทธิภาพสื่อจีนบางรายที่ได้ทดสอบ Tongyi Qianwen แล้วระบุว่ามันตอบคำถามภาษาจีนได้ดีกว่า ChatGPT แต่ความสามารถเฉพาะทางเช่นการเขียนโปรแกรมนั้นยังทำได้แย่กว่า ก่อนหน้านี้ Baidu ก็เปิดตัวบอท Ernie ออกมาก่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่เปิดให้ใช้งานทั่วไป ทำให้ตอนนี้ดูเหมือน OpenAI กลายเป็นบริษัทเดียวที่เปิด LLM ให้ใช้งานเป็นวงกว้าง ที่มา - TechNode
# ราคา Bitcoin กลับขึ้นมาสูงกว่า 30,000 ดอลลาร์ แล้ว นับตั้งแต่มิถุนายน 2022 ราคา Bitcoin ทำสถิติใหม่ในเช้าวันนี้ ราคาปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่า 30,000 เป็นที่เรียบร้อย หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 6% จากช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา เป็นการกลับมาซื้อขายที่ราคามากกว่า 3 หมื่นดอลลาร์ นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2022 ช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา ราคา Bitcoin ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปี (year-to-date) จากราคาประมาณ 16,600 ดอลลาร์ เพิ่มขึ้นมาแล้วถึง 80% โดยประเมินว่าธนาคารกลางอาจผ่อนคลายนโยบายการขึ้นดอกเบี้ย ทำให้เงินลงทุนเข้ามาสู่สินทรัพย์แบบคริปโตมากขึ้น Richard Mico ซีอีโอของแพลตฟอร์มคริปโต Banxa มองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นจากกรณีนี้ของธนาคาร Silicon Valley Bank และ Signature Bank ทำให้เงินคริปโตถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทน คุ้มกับความเสี่ยงสำหรับการถือครอง (risk-off) มากขึ้น ที่มา: CoinDesk
# ให้คนเงินเหลือหาคู่ Tinder กำลังพัฒนา Tinder Vault ค่าบริการเดือนละ 15,xxx บาท Mark Van Ryswyk ตำแหน่ง CPO ของ Tinder เปิดเผยว่าบริษัทกำลังพัฒนาสิ่งที่ถูกเรียกเบื้องต้นว่า Tinder Vault โดยอาจจะให้บริการเดือนละ 500 เหรียญหรือราว 15,000 บาท อย่างไรก็ตามรายละเอียดฟีเจอร์ ว่าจะมีอะไรเพิ่มเข้ามาบ้าง หรือแม้แต่ชื่อของ Tinder Vault ยังไม่ได้ข้อยุติ หรืออาจจะไม่ปล่อยฟีเจอร์นี้ก็ได้ โดย Mark เผยว่าทีมกำลังค้นหาฟีเจอร์ที่เก็บเงินเดือนละกว่าหมื่นบาทหรือปีละ 2 แสนกว่าบาท จะเข้ามาช่วยยกระดับอีโคซิสเต็มหรือเพิ่มคุณค่าของ Tinder ในภาพรวมยังไง แต่ก็ต้องไม่ทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้ Tinder ปกติกระทบ ไอเดียของ Tinder Vault มาจากการที่ Match Group บริษัทแม่ Tinder ซื้อกิจการ The League แอปเดทที่จับกลุ่มผู้ใช้ระดับบน โดยคิดค่าบริการสัปดาห์ละ 1,000 เหรียญ หรือกว่า 30,000 บาท ซึ่ง Tinder ก็ค้นพบว่า มีกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้อยู่ ที่ต้องการแอปจับคู่และหาประสบการณ์ในวงกลุ่มเดียวกัน ในแง่หนึ่ง Tinder Vault เป็นความพยายามจะรีแบรนด์ Tinder ด้วยว่าเป็นแพลตฟอร์มสำหรับหาความสัมพันธ์ระยะยาว หลังถูกมองว่าเป็นเพียงแอปหาคู่นอน ที่มา - FastCompany
# Twitter Circle ทวีตวงในเกิดความผิดพลาด โผล่หน้าฟีด For You คนที่ไม่ได้เลือก Twitter Circle หรือทวีตวงในที่คนไทยเรียกกัน เป็นฟีเจอร์ของทวิตเตอร์ที่สามารถทวีตและเลือกได้ว่าอยากให้เพื่อนสนิทหรือบุคคลที่เราเลือกมองเห็นข้อความที่เราทวีตได้ในหน้า For You ส่วนคนอื่นที่ไม่ได้เลือกก็จะไม่เห็นข้อความที่เราทวีต ซึ่งการใช้งานเหมือน IG Story ที่มี Close Friends และ Facebook ที่ให้เลือก Close Friends ตอนจะกดโพสต์ แต่เมื่อคืนที่ผ่านมามีผู้ใช้จำนวนมากได้ออกมาบอกว่าทวีต Twitter Circle เกิดความผิดพลาด ทวีตที่หลายคนเอาไว้แชร์เรื่องส่วนตัวหรือระบายสิ่งที่เจอกับคนสนิทที่ตนเองเลือกไว้ แต่กลับไปโผล่หน้าฟีด For You ทุกคน มีคนสังเกตว่าทวีตของบุคคลที่ติดตามอยู่ขึ้นในหน้าฟีด แต่พอกดที่ทวีตกลับมองไม่เห็นและไม่สามารถที่จะตอบโต้กับทวีตนั้นได้เลย จึงทักไปถามเจ้าของทวีตว่า โพสต์นั้นได้ตั้งเป็น Twitter Circle หรือไม่? และเจ้าของบัญชียืนยันว่าใช่ แต่คนที่ไปถามไม่ได้อยู่ใน Twitter Circle ที่เจ้าของทวีตได้เลือกไว้ ซึ่งตอนนี้ Twitter เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง อาจเกิดข้อผิดพลาดทางระบบได้ ผู้ใช้งานควรต้องระมัดระวังและกลั่นกรองเนื้อหาก่อนโพสต์ ที่มา: 9to5mac Techcrunch
# คนขับรถเมล์ในซานฟรานซิสโกโวย รถไร้คนขับไม่เก่งอย่างที่โม้ ทำรถติด Wired รายงานถึงการทดสอบรถแท็กซี่ไร้คนขับในเมืองซานฟรานซิสโกที่เปิดให้บริษัทต่างๆ เข้ามาทดสอบรถไร้คนขับเต็มรูปแบบโดยไม่ต้องมีพนักงานอยู่หลังพวงมาลัยในกรณีฉุกเฉินตั้งแต่ปี 2021 ที่ผ่านมา แม้ว่าในกรณีทั่วๆ ไปจะทำงานได้ดี แต่เมื่อเกิดเหตุที่ต้องตัดสินใจนอกจากรูปแบบปกติขึ้นมาจริงๆ รถไร้คนขับก็ทำรถติดได้มากกว่าคนมาก ทาง Wired ขอข้อมูลจาก Muni ผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะของซานฟรานซิสโกที่เริ่มเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา พบว่ามีเกิดเหตุอย่างน้อย 12 ครั้งจนถึงต้นเดือนมีนาคมนี้ เหตุการณ์เช่น รถสวนกันในถนนที่พื้นที่ไม่พอให้สวนทาง ถ้าเป็นคนขับปกติก็สามารถตัดสินใจถอยรถหลีกทางได้ทันที แต่ Waymo ต้องเรียกผู้ช่วยมาขยับรถให้ ทาง Waymo เองพยายามบอกว่าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย และผู้ช่วยก็ไปถึงที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับบริษัทอื่นๆ ด้วย เช่น Cruise เองก็มีเหตุที่รถไม่ยอมขยับแม้จะไฟเขียวแล้ว ที่ผ่านมาบริษัทรถไร้คนขับมีรายงานความปลอดภัยกันอย่างต่อเนื่อง สถิติแสดงให้เห็นว่ารถไร้คนขับนั้นปลอดภัยมาก และแทบไม่เคยชนโดยตัวรถเป็นฝ่ายผิดเลย แต่ในความเป็นจริง ความสามารถในการจัดกรเหตุการณ์อื่นๆ นอกจากอุบัติเหตุก็เงื่อนไขสำคัญที่ควรพิจารณานำรถไร้คนขับมาใช้งานจริง ที่มา - Wired
# [ลือ] จีพียู NVIDIA รุ่นถัดไปโค้ดเนม Blackwell ออกปลายปี 2024, ใช้ทั้งเซิร์ฟเวอร์และพีซี ช่องฮาร์ดแวร์และบัญชีทวิตเตอร์สายฮาร์ดแวร์หลายราย เริ่มทยอยโพสต์ข้อมูลของ NVIDIA "Blackwell" สถาปัตยกรรมจีพียูรุ่นถัดไปที่จะออกช่วงปลายปี 2024 Blackwell ยังคงธรรมเนียมเดิมของ NVIDIA ที่ใช้โค้ดเนมเป็นชื่อนักวิทยาศาสตร์ โดยรอบนี้คือ David Blackwell นักคณิตศาสตร์ชาวอเมริกัน ที่มีผลงานด้านทฤษฎีเกม และความน่าจะเป็น สิ่งที่น่าสนใจคือในรอบจีพียูปัจจุบัน NVIDIA แยกสถาปัตยกรรมเป็น 2 สายคือ Hopper (เซิร์ฟเวอร์) และ Ada Lovelace (พีซี) แต่ในรอบของ Blackwell น่าจะใช้สถาปัตยกรรมตัวเดียวกับทั้งสองส่วนเลย โดยเริ่มจากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ก่อน เพราะตอนนี้เริ่มมีเลขรุ่นของชิป GB100 และ GB102 สำหรับเซิร์ฟเวอร์ออกมาแล้ว ต่อจาก GH100 และ GH202 ที่เป็นเลขรุ่นชิปของ Hopper ข้อมูลอื่นของ Blackwell ที่มีหลุดออกมาตอนนี้คือ จะยังเป็นชิปเดี่ยว (monolithic) ยังไม่ขยับไปใช้สถาปัตยกรรม chiplet แบบฝั่ง AMD Radeon, อาจใช้กระบวนการผลิต TSMC 3nm แม้บางคนบอกว่าไม่ใช่, ประสิทธิภาพจะดีขึ้นจากยุค Ada Lovelace อย่างมาก ซึ่งจะถือเป็นการก้าวกระโดดอีกครั้ง หลังจาก GeForce ซีรีส์ 40 ถูกวิจารณ์ว่าตัวจีพียูหลักมีประสิทธิภาพดีขึ้นไม่มากนัก ที่มา - Appuals, Notebookcheck, Wccftech
# พรรคเพื่อไทยชี้แจง ไม่ได้สร้างเงินสกุลใหม่ ใช้บล็อกเชนที่ปลอดภัยสูงสุด สูงกว่าระบบปัจจุบัน พรรคเพื่อไทยออกมาชี้แจงนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล โดยเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ของพรรค 10 ข้อ ระบุว่านโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัลไม่ได้สร้างเงินสกุลใหม่ แต่เปรียบเทียบว่าเป็น "คูปอง" ที่มีเงื่อนไขการใช้งานโดยระบบบล็อกเชน ในโพสต์ยังระบุว่าใช้ "ระบบบล็อกเชนที่มีความปลอดภัยสูงสุด" สูงกว่าระบบที่ใช้ในปัจจุบัน แต่ไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าเป็นระบบอย่างไร เมื่อวานนี้ในเวที 101 Policy Forum: นโยบายเศรษฐกิจในสนามเลือกตั้ง ของ The101.world นายเผ่าภูมิยังตอบคำถามเรื่องนโยบายนี้ ว่าจะช่วยสร้างการเข้าถึงด้านการเงิน (financial inclusive) เพราะประชาชนทุกคนที่มีบัตรประชาชน จะมีบัญชีกระเป๋าเงินดิจิทัลของตัวเอง มี "key ของตัวเอง" ซึ่งต่างจากระบบบัญชีเงินฝากธนาคารในปัจจุบัน ที่ยังมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงของคนบางกลุ่ม ส่วนในแง่ความยากของการใช้งาน นายเผ่าภูมิบอกว่าบล็อกเชนทำให้สิ่งที่เคยยากนั้นง่ายขึ้น ขอแค่โทรศัพท์มือถือของฝั่งผู้รับ ผู้จ่ายใช้บัตรประชาชนอย่างเดียวและ QR code ของตัวเองในการจ่าย นายเผ่าภูมิย้ำว่านโยบายนี้ไม่ใช่การแจกจ่ายเงิน แต่ขอให้มองว่าเป็นการลงทุนเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อคนที่เดือดร้อนจากโควิด ช่วงที่นายเผ่าภูมิพูดถึงนโยบายกระเป่าเงินดิจิทัล ประมาณนาที 45 ส่วนนายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค ได้ไปร่วมเวทีที่ จ.นครราชสีมา และบอกว่าบล็อกเชนสามารถป้องกันการทุจริตได้ แต่ยังไม่สามารถอธิบายได้ในตอนนี้
# [Canalys] ยอดขายพีซีไตรมาส 1/2023 หดตัว 32%, แอปเปิลตกหนักสุด ยอดขายลด 45% บริษัทวิจัยตลาด Canalys ออกรายงานยอดขายพีซีช่วงไตรมาส 1/2023 หดตัวลง -32.6% สอดคล้องกับตัวเลขของ IDC ในข่าวก่อนหน้านี้ที่หดตัว 29% ตลาดพีซีไตรมาส 1/2023 มียอดขายรวม 53.9 ล้านเครื่อง ลดลงมากจากไตรมาส 1/2022 ที่ขายได้ 80 ล้านเครื่อง เหตุผลก็เป็นการลดลงต่อเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจตั้งแต่ช่วงปลายปี 2022 กลุ่มสินค้าที่ลดหนักสุดคือโน้ตบุ๊ก ยอดขายลดลง 34% ส่วนเดสก์ท็อปลดลง 28% ผู้ผลิตพีซีที่ยอดขายลดลงหนักที่สุด (คิดเป็นเปอร์เซนต์) คือแอปเปิล -45.5% จากขายได้ 7.4 ล้านเครื่อง ลดลงเหลือ 4 ล้านเครื่อง, ตามด้วย Dell -31.0%, Lenovo -30.3%, ASUS -29.3%, HP -24.1% แชมป์ยอดขายแยกตามแบรนด์ยังเป็น Lenovo 12.7 ล้านเครื่อง, HP 12 ล้านเครื่อง, Dell 9.5 ล้านเครื่อง, แอปเปิล 4 ล้านเครื่อง, ASUS 3.9 ล้านเครื่อง Canalys มองว่าการหดตัวของไตรมาส 1/2023 จะเป็นการลดลงหนักที่สุดแล้ว และตลาดจะค่อยๆ ฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2023 ก่อนกลับมาโตใหม่ในปี 2024 ที่มา - Canalys
# Apple อัพเดตแพตช์ความปลอดภัยอุปกรณ์เก่า iOS 15.7.5 และ macOS Big Sur กับ Monterey แอปเปิลออกอัพเดตระบบปฏิบัติการให้กับอุปกรณ์รุ่นเก่า ที่ไม่สามารถอัพเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดปัจจุบันได้ ได้แก่ iOS 15.7.5, iPadOS 15.7.5, macOS Big Sur 11.7.6 และ macOS Monterey 12.6.5 ซึ่งเป็นอัพเดตด้านความปลอดภัย จึงแนะนำให้ผู้ใช้งานอัพเดตทันที ผู้ใช้งาน iPhone และ iPad สามารถอัพเดตได้โดยไปที่ Settings > General > Software Update ส่วนผู้ใช้ Mac ไปที่ System Preferences > General > Software Update ในอัพเดตนี้เป็นการแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัย 2 รายการ คือช่องโหว่ IOSurfaceAccelerator ที่ผู้โจมตีสามารถเข้าถึงระดับเคอร์เนลได้ และช่องโหว่ WebKit ซึ่งทั้งสองช่องโหว่นี้ แอปเปิลได้ออกอัพเดตไปใน iOS 16.4.1 และ macOS Ventura 13.3.1 ที่ออกมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่มา: MacRumors
# SenseTime เปิดตัว SenseNova ชุดโมเดลพื้นฐาน AI ขนาดใหญ่ รองรับความสามารถหลายอย่าง SenseTime หนึ่งในบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้าน AI รายใหญ่ของจีน เปิดตัว SenseNova ชุดโมเดลพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่ประกอบด้วยความสามารถทั้งการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing - NLP) การสร้างเนื้อหาขึ้นมาใหม่ การบรรยายรูปภาพ เป็นต้น Dr. Xu Li ประธานและซีอีโอ SenseTime บอกว่ายุทธศาสตร์ของบริษัทคือการพัฒนา AI สำหรับงานทั่วไป ซึ่งอาศัย 3 องค์ประกอบคือ ข้อมูล อัลกอริทึม และพลังประมวลผล ซึ่งส่วนการจัดการข้อมูลนั้นมี SenseNova เป็นโมเดลพื้นฐาน ส่วนการประมวลผล บริษัทได้เปิดตัว SenseCore โครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับงาน AI ที่ใช้เวลามากกว่า 5 ปี ในการสร้างและพัฒนา ประกอบด้วยจีพียู 27,000 ตัว ความสามารถประมวลผลรวม 5,000 petaflops เป็นหนึ่งในศูนย์ประมวลผลใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย ตัวอย่างความสามารถของ SenseNova ที่นำเสนอ ได้แก่ SenseChat แชตบอท LLM ที่รองรับทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ, SenseMirage เครื่องมือสร้างรูปภาพจากข้อความอินพุทความละเอียดสูง, SenseAvatar สร้างคลิปอวตาร จากคลิปวิดีโอตั้งต้นของคน ๆ นั้น ที่มา: SenseTime
# Capcom อัพเดต Resident Evil Village เวอร์ชัน Steam ปลดล็อค DRM Denuvo Capcom อัพเดตเกม Resident Evil Village เวอร์ชัน Steam โดยปลดล็อคระบบ DRM Denuvo ออก เมื่อครั้งที่เกม RE: Village ออกเวอร์ชัน Steam ในปี 2021 ก็ถูกวิจารณ์ว่า DRM ทำเกมกระตุก และมีคนแคร็กระบบ DRM ออกแล้วพบว่าเกมลื่นกว่าของแท้ด้วยซ้ำ ส่งผลให้ผู้เล่นจำนวนหนึ่งตัดสินใจไม่เล่นเวอร์ชัน Steam ด้วยเหตุผลนี้ Capcom ไม่ได้อธิบายว่าทำไมถึงปลด DRM ออกแล้ว แต่ก็ถือเป็นข่าวดีของผู้เล่นที่ต้องการเล่นเกมเวอร์ชัน Steam ที่มา - VGC
# YouTube Premium เพิ่มฟีเจอร์: 1080p ปรับปรุงบิตเรต, Co-Watch, จัดลำดับคิวในแอปมือถือ YouTube ประกาศเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้เฉพาะกับผู้สมัครใช้งาน YouTube Premium ซึ่งตอนนี้มีผู้สมัครใช้งานแล้วมากกว่า 80 ล้านคนทั่วโลก โดยมีของใหม่ดังนี้ Queue สามารถจัดลำดับการเล่นด้วยคิว บนแอปสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตได้แล้ว Co-Watch ผู้ใช้บน Android สามารถเปิดเซสชันรับชมร่วมกันผ่าน Google Meet Live Sharing ได้ เช่นเดียวกับ iOS สามารถใช้ SharePlay ผ่าน FaceTime ได้ Continue watching แสดงคอนเทนต์ล่าสุดที่ยังดูไม่จบ เพื่อแนะนำให้ดูต่อทันที แม้ข้ามอุปกรณ์ Smart Downloads แนะนำวิดีโอน่าสนใจในหน้าดาวน์โหลด สำหรับดูออฟไลน์ และแม้ไม่ได้ดาวน์โหลดเก็บไว้ หน้านี้ก็ยังแนะนำวิดีโอให้ 1080p Premium เพิ่มความละเอียดกว่าเดิม ด้วยภาพ 1080p ที่ปรับปรุงบิตเรต สำหรับผู้ใช้แอป iOS และจะเพิ่มเวอร์ชันเว็บในอนาคต ที่มา: YouTube
# [IDC] ตลาดพีซี ไตรมาส 1/2023 หดตัวอีกไตรมาส จำนวนส่งมอบลดลง 29% บริษัทวิจัยตลาด IDC รายงานภาพรวมธุรกิจพีซีของไตรมาสที่ 1 ปี 2023 ซึ่งมีปัจจัยกระทบทั้งความต้องการสินค้าที่ลดลง สินค้าค้างในสต็อก และปัญหาเศรษฐกิจโลก ทำให้จำนวนส่งมอบอยู่ที่ 56.9 ล้านเครื่อง ลดลง 29.0% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2022 ตัวเลขนี้ยังน้อยกว่าไตรมาส 1 ในปี 2019 และ 2018 ที่ยังไม่มีปัจจัยโควิด 19 เข้ามา ซึ่งอยู่ที่ 59.2 ล้านเครื่อง และ 60.6 ล้านเครื่อง ตามลำดับ Jitesh Ubrani ผู้จัดการฝ่ายวิจัยของ IDC ระบุว่าระยะเวลาสินค้าในสต็อกยังอยู่ที่ระดับ 6 สัปดาห์ ซึ่งนานกว่าปกติที่ 4 สัปดาห์ ประเมินว่าปัญหานี้จะยังอยู่ไปจนถึงราวไตรมาส 3 ปีนี้ ส่วน Linn Huang รองประธานฝ่ายวิจัยอุปกรณ์ของ IDC มองว่าปี 2024 อุปกรณ์คอมพิวเตอร์จะถึงรอบการอัพเกรดใหญ่ หากเศรษฐกิจกลับมามีทิศทางที่ดี จะเห็นคำสั่งซื้อที่มากขึ้น ทั้งจาก Chromebook ที่มาทดแทนรุ่นเก่า และพีซีที่มาอัพเกรดเป็น Windows 11 ส่วนแบ่งตลาดแยกตามผู้ผลิต 3 อันดับแรก ยังเป็น Lenovo HP และ Dell Technologies ที่ 12.7 ล้านเครื่อง 12.0 ล้านเครื่อง และ 9.5 ล้านเครื่อง ตามลำดับ ส่วนแอปเปิลอยู่ในอันดับที่ 4 จำนวนเครื่องส่งมอบลดลงถึง 40.5% เป็น 4.1 ล้านเครื่อง ที่มา: IDC
# BBC คัดค้านป้าย Government funded media บัญชีตัวเองใน Twitter ก่อนหน้านี้ Twitter ได้มีการเพิ่มป้ายกำกับในหน้าโปรไฟล์เพื่อบ่งบอกจุดประสงค์ของบัญชีเช่น State-affiliated media (สื่อที่กำกับดูแลโดยรัฐบาล), Government accounts (หน่วยงานของรัฐบาล), US election candidates (ผู้สมัครเลือกตั้งของสหรัฐ) แต่ล่าสุดที่ผ่านมา BBC ได้ออกมาบอกว่า Twitter ได้มีการเพิ่มป้ายกำกับ Government funded media (สื่อที่ได้รับทุนจากรัฐบาล) ในหน้าบัญชี @BBC ที่มีผู้ติดตาม 2.2 ล้านคน เป็นบัญชีที่ทำหน้าที่เผยแพร่ข่าวสารที่เกี่ยวกับรายการทีวีที่สร้างขึ้นโดย BBC ไม่ว่าจะเป็นพอดแคสต์หรือเนื้อหาอื่นๆ โดยที่บัญชีหลักสำหรับการอัปเดทข่าวสารโดยตรงยังไม่มีการเพิ่มป้ายกำกับใดๆ จากแถลงการณ์ระบุว่าสำนักข่าว BBC เป็นอิสระต่อรัฐบาลมาตลอด ได้รับเงินสนับสนุนจากประชาชนในอังกฤษจากการออก license free (ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต) เท่านั้น ค่าธรรมเนียมใบอนุญาตเพิ่มขึ้น 3.8 พันล้านปอนด์ ในปี 2565 สำหรับ BBC คิดเป็นรายได้ 71% ของรายได้รวม BBC ที่ 5.3 พันล้านปอนด์ ส่วนที่เหลือมาจากกิจกรรมเชิงพาณิชย์และกิจกรรมอื่นๆ เช่น เงินสนับสนุน ค่าลิขสิทธิ์ เป็นต้น นอกจากนี้ BBC ยังได้รับเงินมากกว่า 90 ล้านปอนด์ต่อปีจากรัฐบาล แต่ใช้เพื่อสนับสนุน BBC World Service ให้บริการผู้ชมนอกสหราชอาณาจักรเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น โดยป้ายที่ถูกกำกับว่าเป็น “Government funded media" ใน Twitter ถูกอธิบายไว้ว่าเป็นสื่อที่มีรัฐบาลควบคุมเนื้อหาผ่านการสนับสนุนเงินจากรัฐบาล และมีผลต่อการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อมหรือมีการควบคุมและกระจายการผลิตจากผ่านรัฐบาล” นอกจาก BBC ยังมีสำนักข่าว NPR ที่ถูกระบุป้ายในบัญชี Twitter ว่าเป็น “Government funded media" ด้วยเช่นกัน ซึ่งทาง NPR ได้แจ้งว่าจะหยุดอัปเดตในบัญชี Twitter ถ้าไม่ได้รับการแก้ไข สื่อสังคมออนไลน์หลักๆ มักมีป้ายกำกับระบุว่าบัญชีใดบ้างที่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลชาติต่างๆ เช่น CGTNOfficial หรือสำนักข่าว CGTN ของจีนก็มีป้ายกำกับบนทวิตเตอร์ว่าเป็น “China state-affiliated media” ขณะที่ YouTube เองก็มีป้ายกำกับคล้ายกัน เช่น ช่อง DW ของเยอรมนี ก็มีข้อความกำกับว่าเป็นสื่อสาธารณะของเยอรมนี (DW is German public broadcast service.) เช่นเดียวกับ BBC บน YouTube ก็มีข้อความกำกับว่าเป็นสื่อสาธารณะเช่นกัน ไม่ได้ระบุว่าเป็นสื่อของรัฐบาล ยังไม่ทราบถึงเหตุผลที่ทาง Twitter ติดป้ายกำกับหน้าโปรไฟล์ @BBC เป็น “Government funded media” ได้อย่างไรและมาจากที่ไหน เพราะการทำเช่นนี้ทำให้สำนักข่าวดังกล่าวถูกเข้าใจผิดว่าเนื้อหาข่าวที่ทาง BBC เผยแพร่ออกมากำหนดโดยรัฐบาลอังกฤษ ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงติดต่อดำเนินการกับ Twitter เพื่อแก้ไขป้ายกำกับดังกล่าว ที่มา:BBC
# ภาพยนตร์ Super Mario Bros. ทำรายได้ช่วงเปิดตัว 377 ล้านดอลลาร์ เป็นแอนิเมชันเปิดตัวรายได้สูงสุด ภาพยนตร์ Super Mario Bros. ทำรายได้ช่วงสุดสัปดาห์แรกที่เข้าฉายได้อย่างร้อนแรง โดยตัวเลขรวมทั่วโลกอยู่ราว 377.2 ล้านดอลลาร์ โดยแบ่งเป็นรายได้ในสหรัฐ 204.6 ล้านดอลลาร์ ที่เหลือเป็นรายได้จากประเทศอื่นๆ รวมกัน ตัวเลขนี้ทำให้ Super Mario Bros. เป็นภาพยนตร์รายได้สูงสุดของปี 2023, ภาพยนตร์แอนิเมชันเปิดตัวด้วยรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมีโอกาสสูงที่รายได้รวมจะแตะหลัก 1 พันล้านดอลลาร์ได้ไม่ยากนัก Super Mario Bros. Movie เป็นผลงานสร้างโดยสตูดิโอ Illumination ที่โด่งดังจากซีรีส์ Minion และจัดจำหน่ายโดย Universal Pictures ที่มา - Deadline, Gizmodo
# Tesla เตรียมตั้งโรงงาน Megafactory ที่เซี่ยงไฮ้เพิ่ม ผลิตแบตเตอรี่ 40 GWh ต่อปี Tesla เดินหน้าในประเทศจีนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดประกาศตั้งโรงงาน Megafactory สำหรับผลิตแบตเตอรี่ โดยระบุว่าโรงงานใหม่จะมีกำลังการผลิตแบตเตอรี่ Megapack ราว 10,000 ลูกต่อปี หรือคิดเป็นราว 40 GWh ต่อปี หากจะเทียบให้เห็นภาพ ปัจจุบันประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนอันดับ 2 ของโลก โดยในปี 2021 มีกำลังการผลิต 44 GWh และประเมินว่าจะขึ้นไปถึง 91 GWh ในปี 2025 ทำให้โรงงาน Megafactory ใหม่ของ Tesla ที่จะมีกำลังการผลิต 40 GWh นั้นแทบจะเทียบได้กับกำลังการผลิตของสหรัฐอเมริกาทั้งประเทศในปี 2021 เลยทีเดียว Megapack เป็นแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับตู้คอนเทนเนอร์ ใช้สำหรับจ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับเมือง เช่นจ่ายไฟแทนเมื่อโรงไฟฟ้าขัดข้องหรือช่วยเสริมเมื่อมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นมากในช่วงสั้นๆ ปัจจุบันมีหลายเมืองในหลายประเทศใช้งานจริงแล้ว เช่นแคนาดา, ออสเตรเลีย รวมถึงในสหรัฐอเมริกาเอง ที่มา - Reuters ภาพทั้งหมดโดย Tesla
# รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ขีดเส้นตาย เน็ตเวิร์ครัฐบาลต้องใช้ RPKI ป้องกันการขโมยทราฟิกภายในปี 2024 รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ประกาศขีดเส้นตายเตรียมบังคับหน่วยงานรัฐบาลทั้งหมดต้องรองรับกระบวนการยืนยันเส้นทางเน็ตเวิร์ค หรือ Resource Public Key Infrastructure (RPKI) ภายในสิ้นปี 2024 ทำให้ตอนนี้หน่วยงานต่างๆ ที่กำลังทำเรื่องจัดซื้อต้องเพิ่มเงื่อนไขนี้เข้าไปในการจัดซื้อแล้ว ที่ผ่านมาทราฟิกเชื่อมต่อของรัฐบาลเคยถูกประกาศเส้นทางโดย ISP รายอื่นทำให้ทราฟิกถูกดึงมาแล้วหลายครั้ง แม้จะเป็นการคอนฟิกผิดพลาดแต่การเปิดช่องทางให้คนร้ายสามารถดึงทราฟิกไปได้ก็เป็นความเสี่ยง เน็ตเวิร์คกระทรวงต่างประเทศของเนเธอร์แลนด์เคยถูกดึงทราฟิกไปเมื่อปี 2014 หรือข่าวใหญ่เช่นกูเกิลเองเคยถูกดึงทราฟิกจนเว็บดับในปี 2018 RPKI ทำให้เราท์เตอร์ของ ISP อื่นๆ สามารถยืนยันได้ว่าเส้นทางที่ประกาศมานั้นถูกต้องหรือไม่ ที่ผ่านมา Cloudflare พยายามเรียกร้องให้ ISP ทั่วโลกประกาศ RPKI ให้ถูกต้องจะได้ยืนยันได้ว่าจะเชื่อ RPKI เท่านั้น ISP อื่นไม่สามารถประกาศเส้นทางมั่วๆ ได้ ที่มา - Forum Standardization ภาพโดย jarmoluk
# นักการเมืองออสเตรเลียโวย ถูก ChatGPT ระบุว่าเคยจ่ายสินบน Brian Hood นายกเทศมนตรีเมือง Hepburn Shire ในรัฐวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย ยื่นหนังสือถึง OpenAI ให้แก้ไข ChatGPT หลังจากตัวปัญญาประดิษฐ์ระบุว่าเขาถูกดำเนินคดีติดสินบน Hood เคยทำงานในบริษัท Note Printing Australia (NPA) ช่วงปี 2000 และเขาเคยออกมาแจ้งเจ้าหน้าที่ว่ามีการจ่ายสินบนเพื่อให้ NPA ได้งานพิมพ์ธนบัตร แต่เมื่อมีคนไปถามถึงความเกี่ยวข้องของ Hood กับเหตุการณ์ดังกล่าวกับ ChatGPT กลับตอบว่าเขาเป็นผู้จ่ายสินบนเสียเอง Gordon Legal บริษัททนายตัวแทนของ Hood ส่งหนังสือถึง OpenAI ขอให้แก้ไขความผิดพลาดนี้ตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคมที่ผ่านมา ที่มา - IT News
# กูเกิลเผยรายละเอียดเครื่อง TPU v4 ใช้สวิตช์แสงเชื่อมต่อชิป, แรงกว่า NVIDIA A100 กูเกิลเผยรายละเอียดของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิปออกแบบเอง Tensor Processing Unit (TPU) v4 ซึ่งเริ่มใช้ในโปรดักชันมาตั้งแต่ปี 2020 (แต่เพิ่งเผยรายละเอียดปี 2023) ว่าสามารถยกระดับประสิทธิภาพ machine learning ได้เกือบ 10 เท่าจากเครื่อง TPU v3 และสามารถเอาชนะเครื่องที่ใช้จีพียู NVIDIA A100 ได้ด้วย TPU v4 เปิดตัวต่อสาธารณะเมื่อปี 2021 และทำผลงานเบนช์มาร์คด้าน AI ได้ดี เรื่องใหม่ที่กูเกิลเปิดเผยเพิ่มเติมในรอบนี้คือเครื่อง TPU v4 มีฟีเจอร์สำคัญ 2 ประการ ใช้สวิตช์แบบแสง (Optical Circuit Switching) มีตัวช่วยประมวลผลข้อมูลชื่อ SparseCore ฟีเจอร์ 2 อย่างนี้ช่วยให้เครื่อง TPU v4 สามารถรีดประสิทธิภาพงานด้าน AI ได้ดีขึ้นกว่าเดิม Optical Circuit Switching ชิป TPU ถูกออกแบบมาให้ต่อกันเป็นคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ มีชิปจำนวนมาก ซึ่งกูเกิลตั้งเป้าว่า TPU v4 ต้องมีจำนวนชิปเพิ่มขึ้น 4 เท่าจาก TPU v3 (4096 ตัว vs 1024 ตัว) จึงเริ่มเจอข้อจำกัดในการเชื่อมต่อ (interconnect) ระหว่างชิปแต่ละตัว เพราะระยะห่างระหว่างชิป (ที่อาจต้องอยู่ข้ามแร็คกัน) เริ่มไกลเกินการส่งข้อมูลด้วยสัญญาณไฟฟ้า ทางออกเดียวจึงเป็นการใช้แสง (optical link) ทีมเครือข่ายของกูเกิลได้พัฒนาสวิตช์แสง (Optical Circuit Switching) ชื่อว่า Palomar โดยอาศัยเทคโนโลยีกระจกแบบ 3D Micro-Electro-Mechanical Systems (MEMS) ช่วยสลับวงจรได้รวดเร็วระดับมิลลิวินาที รายละเอียดอ่านได้จากบล็อก Jupiter evolving: Reflecting on Google’s data center network transformation สวิตช์แบบ OCS ยังทำใช้เชื่อมต่อชิป TPU v4 แบบ 3D ได้ (ของ TPU v3 ต่อเป็น 2D) ช่วยให้แบนด์วิดท์ระหว่างกันเพิ่มขึ้น และลดปัญหาชิปบางตัวไม่ทำงานได้ด้วย ด้วยข้อจำกัดของพื้นที่แร็คทำให้กูเกิลเลือกต่อเป็น 4x4x4 ชุดละ 64 ตัว ตัวอย่างเครื่อง TPU v4 ของจริง จำนวน 8 ชุด ซึ่งคิดเป็น 1/8 ของทั้งระบบ TPU v4 ใช้สวิตช์แสง OCS แบบ reconfigurable คือปรับแต่งการวาง topology ของเครือข่ายได้ตามต้องการ ทำให้โครงสร้างของการวางชิป TPU v4 ยืดหยุ่นตามเวิร์คโหลดของงาน AI ประเภทต่างๆ ได้ ผลในภาพรวมคือ สวิตช์แบบ OCS ทำงานได้เร็วกว่า ประหยัดพลังงานกว่า ราคาถูกกว่า การเชื่อมต่อแบบ Infiniband (ปัจจุบันเป็นของ NVIDIA) ที่นิยมใช้ในเซิร์ฟเวอร์สมรรถนะสูง ตอนนี้ชิ้นส่วน OCS มีต้นทุนน้อยกว่า 5% ของระบบ TPU v4 ทั้งหมด และใช้พลังงานน้อยกว่า 5% ของทั้งระบบเช่นกัน ตัวช่วยประมวลผล SparseCore งานประมวลผล AI มีหลายประเภท โดยงานประเภทหนึ่งที่พบบ่อยคือ Deep learning recommendation models (DLRM) ซึ่งเป็นงานแนะนำสิ่งที่ผู้ใช้น่าจะชอบ ที่เราคุ้นเคยกันจากผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของกูเกิล เช่น Search, Ads, YouTube, Google Play อัลกอริทึมแบบ DLRM จะมีชั้นของการนำข้อมูลที่กระจัดกระจายมาจัดให้เป็นหมวดหมู่ เรียกว่า embedding ซึ่งจะช่วยให้เทรนโมเดลได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตาม ตารางข้อมูลที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อทำ embedding มักมีขนาดใหญ่ ใช้แรมเยอะ แต่ประมวลผลจริงๆ น้อย (รูปแบบเวิร์คโหลดคือหาข้อมูลในตารางขนาดใหญ่) จึงกลายเป็นคอขวดของแรม เมื่องานประเภท DLRM มีสัดส่วนการใช้งานราว 25% ของเวิร์คโหลดทั้งหมดในระบบ กูเกิลจึงประดิษฐ์ชิปชื่อ SparseCore มาประมวลผลงานส่วน embedding โดยเฉพาะ แยกจากชิป TensorCore ที่ใช้ประมวลผลโมเดล AI หลัก ซึ่งมีธรรมชาติแตกต่างกัน ชิป SparseCore เอาเข้าจริงแล้วเริ่มใช้งานมาตั้งแต่ TPU v2 (แต่เพิ่งมาเผยตัวต่อชาวโลก) และปรับปรุงมาเรื่อยๆ ใน TPU v3 และ v4 จนตอนนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเวิร์คโหลด DLRM ได้มาก โดยใช้พลังงานเพียง 5% และพื้นที่ชิปเพียง 5% ของ TPU ทั้งหมดเท่านั้น ประสิทธิภาพของ TPU v4 เพิ่มขึ้นราว 3 เท่าจาก TPU v3 และหากเทียบกับการใช้ซีพียูมาตรฐานก็สูงกว่ากันถึง 30 เท่าเลยทีเดียว ด้วยเทคนิคการปรับแต่งประสิทธิภาพของ TPU v4 หลายอย่างข้างต้น ทำให้เครื่อง TPU v4 สามารถเอาชนะ TPU v3 ได้สบายๆ ประสิทธิภาพต่อวัตต์ดีขึ้น 40%, ประสิทธิภาพดีขึ้นราว 1.5-3 เท่า กูเกิลยังนำเครื่อง TPU v4 ไปเทียบกับเครื่องที่ใช้ชิปประมวลผล AI ของคู่แข่งคือ NVIDIA A100 (ยังไม่ใช่ H100 ตัวใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเริ่มออกขายปีนี้) และ Graphcore MK2 IPU ก็สามารถรันเบนช์มาร์ค MLPerf 2.0 เอาชนะ A100 ได้เช่นกัน ตัวอย่างลูกค้าที่รันงานบน TPU v4 ผ่าน Google Cloud คือ Midjourney บริการ AI สร้างรูปจากข้อความชื่อดัง และสถาบัน Allen Institute for AI ที่ก่อตั้งโดย Paul Allen ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ ที่มา - Google Cloud Blog, เปเปอร์ฉบับเต็ม (PDF), The Register
# American McGee เลิกโครงการเกม Alice ภาคสาม หลัง EA ไม่ขายไลเซนส์ให้ American McGee เกมดีไซเนอร์ชื่อดังในยุค 1990-2000s เจ้าของผลงานเกมซีรีส์ Alice สองภาค (American McGee's Alice ปี 2000 และ Alice: Madness Returns ปี 2011) ล่าสุดเขาพยายามทำเกมภาคที่สามชื่อ Alice: Asylum โดยระดมทุนผ่าน Patreon แต่ล่าสุดโครงการล้มเลิกแล้ว ด้วยเหตุผลว่า EA ในฐานะเจ้าของลิขสิทธิ์ Alice ไม่อนุญาต EA เป็นผู้จัดจำหน่ายเกม American McGee's Alice ภาคแรกซึ่งทำผลงานได้ค่อนข้างดี คะแนนรีวิวเฉลี่ย 85/100 และยอดขายรวม 1.5 ล้านชุด แต่ McGee ลาออกจาก EA เพราะแนวทางไม่ตรงกัน หลังจากนั้นเขาไปตั้งบริษัทใหม่ชื่อ Spicy Horse และกลับมาทำเกมภาคสองร่วมกับ EA ในปี 2011 McGee บอกว่าเขาพยายามคุยกับ EA ทุกช่องทาง และคราวล่าสุดคือนำไฟล์แนวทางการออกแบบ (Design Bible) ความยาว 441 หน้าเข้าไปคุยกับ EA เพื่อขอเงินสนับสนุนและขอไลเซนส์การใช้ตัวละครในเกมซีรีส์ Alice ซึ่งคำตอบของ EA คือไม่สนใจลงทุน และยังไม่ขายไลเซนส์ให้ด้วย ทำให้ McGee ยอมรับว่าหมดช่องทางแล้ว และขอยุติโครงการเกมภาคสามไปก่อน เมื่อปีที่แล้วยังมีข่าวว่า เกม Alice จะถูกดัดแปลงเป็นซีรีส์ แต่ยังไม่มีความคืบหน้าของโครงการ ผู้ที่สนใจเกม Alice: Asylum หรือสนใจเรื่องการออกแบบเกม สามารถดาวน์โหลดไฟล์ Design Bible มาดูกันได้ฟรี ที่มา - Patreon, Eurogamer
# รู้จัก Anthropic บริษัทคู่แข่งของ OpenAI ก่อตั้งโดยอดีตพนักงาน OpenAI ที่เห็นไม่ตรงกัน บริษัทสายปัญญาประดิษฐ์ที่เริ่มมาแรงในช่วงหลังๆ คือ Anthropic ก่อตั้งเมื่อปี 2020 โดยอดีตพนักงาน OpenAI จำนวนหนึ่งที่แยกตัวออกมาตั้งบริษัทเอง หลังมีแนวทางไม่ตรงกันเรื่องทิศทางของ OpenAI Dario Amodei ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ เป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยของ OpenAI และเป็นหัวหน้าทีมพัฒนา GPT-2, GPT-3 ด้วย ส่วนผู้ร่วมก่อตั้งคนอื่นๆ ที่ย้ายมาจาก OpenAI เช่นกันคือ Daniela Amodei (รองประธานฝ่ายความปลอดภัย AI), Jack Clark (หัวหน้าฝ่ายนโยบาย), Sam McCandlish (หัวหน้าทีมวิจัย), Jared Kaplan (ทีมวิจัย) เป็นต้น Anthropic มีงานทั้งด้านวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยผลิตภัณฑ์ที่เป็นเรือธงของบริษัทคือ Claude แชทบ็อทแบบเดียวกับ ChatGPT ซึ่งปัจจุบันยังเปิดให้เฉพาะพาร์ทเนอร์บางรายใช้งาน ตัวอย่างพาร์ทเนอร์ที่ระบุชื่อบนหน้าเว็บคือ DuckDuckGo, Quora, Notion, Slack เป็นต้น จุดเด่นของ Claude ระบุว่าตัวเอง "ปลอดภัย" เพราะกระบวนการเทรนโมเดลระมัดระวังมากกว่า ส่วนฟีเจอร์อื่นก็คล้ายกันคือมีบทสนทนาที่เป็นธรรมชาติ ปรับระดับของโทนการพูดคุยได้ และมี API เชื่อมต่อข้อมูลภายนอกได้ ส่วนงานวิจัยของ Anthropic เน้นไปที่เรื่องความปลอดภัยของ AI (safety, reliability, harmless) ผู้สนใจสามารถดูได้จาก งานวิจัยทั้งหมด บริษัทที่ชื่อเสียงระดับ Anthropic ระดมทุนมาแล้วหลายรอบ ตัวอย่างนักลงทุนคือ Jaan Tallinn ผู้ร่วมก่อตั้ง Skype, Dustin Moskovitz ผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook และ Asana, Eric Schmidt อดีตซีอีโอกูเกิล, Sam Bankman-Fried แห่ง FTX และล่าสุดเมื่อต้นปีนี้คือ Google Cloud ลงเงินราว 300 ล้านดอลลาร์ ได้หุ้น 10% ตัวเลขอย่างไม่เป็นทางจากจาก The Information บอกว่าตอนนี้บริษัทระดมทุนไปแล้ว 1.3 พันล้านดอลลาร์ มีมูลค่าบริษัทที่ 4.1 พันล้านดอลลาร์ ล่าสุด TechCrunch ได้เอกสารแผนการระดมทุนซีรีส์ C ของ Anthropic ว่ามีแผนระดมทุนเพิ่มอีก 5 พันล้านดอลลาร์ในอีก 2 ปีข้างหน้า เป้าหมายคือนำเงินไปสร้างโมเดล AI ตัวใหม่ที่มีสมรรถนะ 10^25 FLOPs ซึ่งใหญ่กว่าโมเดลในปัจจุบันหลายเท่าตัว ต้องใช้จีพียูหลักหมื่นตัวช่วยกันเทรน และจะนำมาใช้ในแชทบ็อทเวอร์ชันหน้า โค้ดเนม Claude-Next ที่มา - TechCrunch
# ยุคสมัยของเกมไฟล์ใหญ่ Star Wars Jedi: Survivor ต้องการพื้นที่ดิสก์ 155GB EA ประกาศสเปกขั้นต่ำของเกม Star Wars Jedi: Survivor ที่จะวางขาย 28 เมษายน 2023 ว่าต้องการพื้นที่บนดิสก์ถึง 155GB ใหญ่ขึ้นจากภาคแรกที่ใช้เพียง 55GB (เพิ่มมาอีก 100GB) ขนาดไฟล์เกมที่ใหญ่ระดับ 155GB ถือว่าใกล้เคียงกับ Red Dead Redemption 2 ที่ต้องการ 150GB ส่วน Call of Duty: Modern Warfare ก็ต้องการ 175GB ซึ่งเกมเหล่านี้ก็ถูกวิจารณ์จากผู้เล่นว่าสร้างความลำบากสำหรับคนที่มีสตอเรจไม่มากพอ ที่มา - EA, IGN
# Google ประกาศหยุดอัพเดต Assistant ของ Smart Display ผู้ผลิต 3rd Party หลายรุ่น กูเกิลประกาศหยุดออกอัพเดตซอฟต์แวร์ ให้กับอุปกรณ์หน้าจอสัมผัส (Smart Display) ของผู้ผลิต 3rd Party โดยระบุไว้ในหน้าซัพพอร์ตของวิธีการโทรออกหรือรับสาย Duo ผ่านอุปกรณ์ดังกล่าว ว่าอุปกรณ์ที่จะไม่ได้รับอัพเดตได้แก่ Lenovo Smart Display (รุ่น 7", 8" และ 10"), JBL Link View และ LG Xboom AI ThinQ WK9 Smart Display กูเกิลเปิดตัว Google Assistant บน Smart Displays ตั้งแต่ปี 2018 และผู้ผลิตก็เริ่มวางขายหน้าจอออกในปีนั้น อย่างไรก็ตามกูเกิลได้ปรับโฟกัสสินค้ากลุ่มดังกล่าว โดยเฉพาะการประกาศยุติโครงการ Android Things ที่มีผลต่อสินค้าสมาร์ทโฮม อย่างไรก็ตาม ประกาศของกูเกิลนี้ว่าด้วยการหยุดออกอัพเดตเท่านั้น อุปกรณ์เหล่านี้จึงน่าจะยังใช้งานได้ต่อไประยะเวลาหนึ่ง แต่กูเกิลไม่การันตีคุณภาพการทำงานแล้วนั่นเอง ที่มา: 9to5Google
# ข้อสังเกตต่อเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย ทำทั้งหมดได้โดยไม่ต้องใช้บล็อกเชน พรรคเพื่อไทยได้ประกาศนโยบายแจกเงินดิจิทัลจำนวน 10,000 บาท ให้คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไปทุกคนที่มีอยู่ราว 50 ล้านคน โดยระบุว่าจะพัฒนาระบบกระเป๋าเงินดิจิทัลที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ด้วยเหตุผลเรื่องการกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายเงินตามนโยบายที่วางไว้ บทความนี้เป็นการตั้งข้อสังเกตต่อแนวนโยบาย โดยจำกัดขอบเขตแค่ประเด็นทางเทคโนโลยีเท่านั้น ไม่ได้กล่าวถึงประเด็นอื่นๆ ในแง่ความเหมาะสมของนโยบายในทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ข้อจำกัดของการใช้เงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย หากอ้างอิงการแถลงรายละเอียดของโครงการ ณ วันที่ 7 เมษายน 2566 โดยแกนนำของพรรค (คลิปแถลงฉบับเต็มด้านล่าง) การแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจมีข้อจำกัดการใช้จ่ายเงินใน 3 มิติ ได้แก่ จำกัดระยะทาง กำหนดไว้ที่รัศมี 4 กิโลเมตรจากที่อยู่ตามบัตรประชาชน โดยสามารถขยายรัศมีเพิ่มได้ หากบริเวณนั้นไม่มีร้านค้า จำกัดระยะเวลา กำหนดไว้ว่าเงินดิจิทัลมีอายุ 6 เดือน เพราะเป็นนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น จำกัดประเภทของการใช้จ่าย ยกเว้นการซื้อบุหรี่ การพนัน การใช้หนี้นอกระบบ การซื้อของที่ผิดกฎหมาย แกนนำของพรรคเพื่อไทยอธิบายว่าต้องใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเพราะ "เขียนเงื่อนไข" ลงในตัวเงินดิจิทัลได้ จึงสามารถจำกัดการใช้งานเหล่านี้ได้ ซึ่งคำกล่าวนี้ห่างไกลจากข้อเท็จจริงในทางเทคนิคอยู่มาก บล็อกเชน ไม่สามารถใช้จำกัดสิทธิได้ด้วยตัวเอง ผู้ที่เคยศึกษาเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นพร้อมกับเงินดิจิทัล Bitcoin คงทราบข้อมูลกันดีว่า หลักการสำคัญคือนำการประมวลผลไปอยู่บน "เชน" หรือสายโซ่ข้อมูล เพื่อให้ประมวลผลธุรกรรมแบบกระจายศูนย์โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางได้ แต่จริงๆ แล้ว ตัวบล็อกเชนมีหน้าที่ประมวลผลเฉพาะธุรกรรมที่อยู่บนสายโซ่ (on-chain) เท่านั้น ซึ่งครอบคลุมถึงแค่ว่า "ใครโอนเงินให้ใคร" (who pays whom) เปรียบได้กับระบบหลังบ้านเพียงอย่างเดียว โค้ดบนบล็อกเชนนั้นไม่รับรู้ถึงข้อมูลนอกโลกบล็อกเชน เช่น สภาพอากาศ, ราคาหุ้น, หรือเงื่อนไขอื่นๆ ที่ผ่านมาโครงการบล็อกเชนต่างๆ ก็จะมีตัวกลางเรียกว่า Oracle นำข้อมูลเข้ามาสู่บล็อกเชนให้อีกทีหนึ่ง แต่ในการนำไปใช้งานจริง เรายังต้องมีระบบอื่นที่อยู่นอกบล็อกเชน (off-chain) เข้ามาเชื่อมต่อด้วย ตัวอย่างคือระบบกระเป๋าเงิน (วอลเล็ต) ที่ช่วยให้ผู้ใช้จัดการวงเงิน การใช้จ่ายเงินแต่ละครั้ง ซึ่งเป็นระบบภายนอกที่มาเชื่อมต่อกับบล็อกเชนอีกที หรือถ้าใครติดตามเรื่อง NFT ก็จะทราบว่าตัวไฟล์สินทรัพย์ดิจิทัล ถูกเก็บอยู่ในระบบสตอเรจแบบอื่นนอกบล็อกเชน เช่น ระบบ HTTP แบบดั้งเดิม หรือระบบไฟล์กระจายศูนย์ IPFS การระบุว่าเลือกใช้บล็อกเชนเพราะเป็นเทคโนโลยีที่จำกัดสิทธิการใช้เงิน ไม่ให้ใช้นอกกรอบนโยบายได้ จึงไม่ถูกต้องในทางเทคนิค และในทางตรงข้ามคือ เทคโนโลยีบล็อกเชนกลับไม่สามารถทำสิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องการได้ จำกัดระยะทาง เป็นสิ่งที่อยู่นอกบล็อกเชน ต้องการแอปพลิเคชั่นรายงานว่าผู้รับและผู้จ่ายอยู่ที่พิกัดใด จำกัดระยะเวลา อาจทำได้หากกำหนดเงื่อนไขเวลาเพิ่มเติมในซอฟต์แวร์ที่รันบล็อกเชน เพียงแต่ซอฟต์แวร์บล็อกเชนที่นิยมในปัจจุบัน ออกแบบมาให้ใช้เงินดิจิทัลได้ตลอดไปในอนาคต และไม่ได้กำหนดเงื่อนไขเรื่องอายุของเงินไว้ ที่ผ่านมา Smart Contract บนแพลตฟอร์มอย่าง Ethereum มักกำหนดเวลาโดยใช้หมายเลขบล็อกแทนค่าเวลาจริงๆ ซึ่งคนทั่วไปเข้าใจยากกว่ามาก และเวลาที่กำหนดก็ไม่สามารถกำหนดแน่นอน เช่น บอกว่าให้ใช้ถึงเที่ยงคืนเป๊ะวันที่ 31 ธันวาคม แบบนี้ทำไม่ได้ จำกัดประเภทของการใช้จ่าย ตัวบล็อกเชนเห็นแค่ยอดธุรกรรมระหว่างใครกับใคร (who pays whom) เท่านั้น ไม่รู้ว่าใช้จ่ายเพื่ออะไร (what) สุดท้ายแล้วการจำกัดประเภทต้องไปทำที่ระบบนอกเชน เช่น ตัวแอพฝั่งผู้ขาย อยู่ดี นอกจากนี้ เทคโนโลยีบล็อกเชนยังมีข้อจำกัดอื่นๆ ซึ่งเป็นที่ทราบกันทั่วไป เช่น ไม่สามารถรองรับปริมาณธุรกรรมจำนวนมากๆ ได้ และต้องอาศัยเวลาในการประมวลผลแต่ละบล็อกนานกว่าระบบธุรกรรมออนไลน์ในปัจจุบัน เงินดิจิทัล CBDC ไม่จำเป็นต้องใช้บล็อกเชนเสมอไป ในการแถลงของพรรคเพื่อไทย ได้อ้างถึงแนวคิดเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (Central Bank Digital Currency หรือ CBDC) โดยพยายามบอกว่าเงินแบบ CBDC ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งไม่จริงเสมอไป แนวคิดของเงินดิจิทัล CBDC เป็นแค่การแปลงเงินตรา (currency) แบบดั้งเดิมให้อยู่ในรูปดิจิทัลเท่านั้น ตัวเทคโนโลยีจะเป็นบล็อกเชนหรือไม่ก็ได้ ตัวอย่างคือ โครงการทดสอบ CBDC รอบล่าสุดของธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่าใช้ระบบจากบริษัท Giesecke+Devrient ของเยอรมนี ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรวมศูนย์ (centralized) ที่ไม่ใช่บล็อกเชน ด้วยเหตุผลว่าต้องการทดสอบระบบที่รองรับธุรกรรมจำนวนมากๆ ที่เป็นข้อจำกัดของบล็อกเชน ระบบเงินดิจิทัล CBDC ของหลายประเทศเองก็ไม่ได้ใช้บล็อกเชนมาตั้งแต่แรก เช่น หยวนดิจิทัล (e-CNY) ของประเทศจีน มีลักษณะคล้ายกับพร้อมเพย์ของประเทศไทย ข้อเสนอของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ออกแบบสถาปัตยกรรมที่มีความกระจายตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ล่มยาก แต่ก็ไม่ใช่บล็อกเชน สหภาพยุโรปอยู่ระหว่างการสร้างต้นแบบเงิน CBDC ที่ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ 5 รูปแบบ ธนาคารกลางออสเตรเลีย ทดลอง CBDC ทั้งหมด 14 รูปแบบ ในช่วงหลัง ตัวแนวคิด CBDC เอง (ไม่ว่าเป็นเทคโนโลยีแบบใด) ยังถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าและความจำเป็นว่าต้องมีจริงๆ หรือไม่ ตัวอย่างคือ รายงานของธนาคารกลางสิงคโปร์หลังทดสอบ CBDC แล้ว และพบว่ายังไม่จำเป็นในตอนนี้ และ อดีตที่ปรึกษาธนาคารกลางของอังกฤษ ที่มีมุมมองว่า CBDC ซ้ำซ้อนกับเงินสำรองอิเล็กทรอนิกส์ที่ธนาคารกลางทั่วโลกมีอยู่แล้ว และไม่มีประโยชน์ชัดเจน การเงินโลกเก่า "เป๋าตัง" สามารถทำสิ่งที่พรรคเพื่อไทยต้องการได้ นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทยชูประเด็นเรื่องการใช้บล็อกเชนว่า ต้องการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินใน "โลกยุคใหม่" ซึ่งแตกต่างจากแอพพลิเคชันเป๋าตัง ที่เป็นเงินใน "โลกยุคเก่า" อย่างไรก็ตาม ระบบเป๋าตังที่พรรคเพื่อไทยระบุว่าเป็นการเงินโลกยุคเก่า ใช้เทคโนโลยีฐานข้อมูลแบบปกติร่วมกับการพัฒนาแอพพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนทั่วไป (ไม่มีบล็อกเชนเลย) กลับสามารถทำเงื่อนไข 3 ข้อที่พรรคเพื่อไทยต้องการได้ และมีอยู่แล้วในโครงการคนละครึ่งที่ผ่านมา จำกัดระยะทาง เป๋าตังกำหนดให้ต้องสแกนจ่ายแบบพบหน้าอยู่แล้ว และในทางเทคนิคสามารถกำหนด geofencing กำหนดรัศมีระยะทางระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายได้ จำกัดระยะเวลา วงเงินของเป๋าตังมีหมดอายุตามระยะเวลาของโครงการอยู่แล้ว และจำกัดวงเงินรายวัน วันละไม่เกิน 150 บาทอยู่แล้ว จำกัดประเภทของการใช้จ่าย ใช้วิธีจำกัดประเภทผู้ขาย (merchants) เช่น ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อที่เป็นแฟรนไชส์ บริการขนส่งสาธารณะบางประเภท ซึ่งใช้วิธีการตรวจสอบจากเอกสาร ณ จุดลงทะเบียน ส่วนเงื่อนไขการใช้งานอื่นๆ เช่น แนวคิดเรื่องการให้เงินดิจิทัลหมุนอยู่ในระบบเพื่อให้เกิดการหมุนของเงินกระตุ้นเศรษฐกิจหลายรอบ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้บล็อกเชนอยู่ดี เพียงแค่กำหนดเงื่อนไขในแอพเป๋าตัง ให้วงเงินในแอพไม่สามารถแลกคืนเป็นเงินสดได้ (อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาของโครงการ) สามารถจ่ายออกเพื่อซื้อสินค้าอื่นๆ ในระบบได้เพียงอย่างเดียว ก็แก้ปัญหานี้ได้ โครงสร้างพื้นฐานมีอยู่แล้ว ไม่ต้องลงทุนใหม่ให้ซ้ำซ้อน แต่ต้องเป็นของทุกคน ในแง่ของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ ระบบที่มีอยู่แล้วอย่างเป๋าตัง สามารถตอบโจทย์นโยบายเรื่องการจำกัดสิทธิการใช้เงินของพรรคเพื่อไทยได้ทั้งหมด ไม่ต้องลงทุนพัฒนา "โครงสร้างพื้นฐานใหม่" ให้ซ้ำซ้อน โดยที่ไม่เห็นประโยชน์ที่จับต้องได้จากเทคโนโลยีบล็อกเชนตามที่กล่าวอ้าง ในแง่ของระยะเวลาโครงการ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานนโยบายพรรคเพื่อไทย บอกว่าจะใช้โครงการเงินดิจิทัลกระตุ้นเศรษฐกิจเพียง 6 เดือนเท่านั้น และไม่ได้ระบุว่าหลังจากหมดโครงการ 6 เดือนนี้จะมีโครงการเกี่ยวกับเงินดิจิทัลอีกหรือไม่ หากไม่มีแผนต่อเนื่องอีก การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่มาเพียงเพื่อโครงการเดียว ก็คงไม่คุ้มค่างบประมาณที่เสียไปเท่าไรนัก ในแง่ของเวลาเริ่มดำเนินโครงการ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ประเมินว่าจะจัดตั้งรัฐบาลในช่วงไตรมาส 3 และเริ่มโครงการเงินดิจิทัลได้ในวันที่ 1 มกราคม 2567 เท่ากับว่ามีเวลาในการริเริ่มโครงการ พัฒนา และทดสอบระบบเพียงไม่กี่เดือน การพัฒนาระบบไอทีแบบใหม่ที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อนในระยะเวลาเพียงเท่านี้ ย่อมไม่ง่ายในทางปฏิบัติ และมีโอกาสล้มเหลวสูง ดังที่ตลาดหุ้นออสเตรเลียล้มเลิกโครงการเปลี่ยนระบบเป็นบล็อกเชน สูญเสียทั้งเวลาและงบประมาณที่ใช้ไป อย่างไรก็ตาม ระบบที่มีอยู่แล้วอย่างเป๋าตัง ยังมีจุดอ่อนในแง่ความเป็นเจ้าของที่ไม่ชัดเจน เพราะโครงการเป๋าตังพัฒนาโดยธนาคารกรุงไทย (ในฐานะรัฐวิสาหกิจ) ตามนโยบายของกระทรวงการคลัง การที่ธนาคารรายเดียวได้สิทธิในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ จึงควรถูกตั้งคำถามในแง่การแข่งขันในอุตสาหกรรม เพราะถือว่าได้เปรียบธนาคารหรือสถาบันการเงินรายอื่น (รวมถึงธนาคารที่เป็นรัฐวิสาหกิจรายอื่นด้วย เช่น ธนาคารออมสิน หรือ ธกส.) เป็นอย่างมาก หากเรามองย้อนดูจุดเริ่มต้นของโครงการเป๋าตัง ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาพิเศษคือระหว่างวิกฤต COVID-19 ที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน ก็พอเข้าใจได้ว่า ธนาคารกรุงไทยอาจมีความพร้อมในการพัฒนาระบบไอทีมากกว่าหน่วยงานอื่น และสามารถสร้างระบบขึ้นมาตอบสนองนโยบายภาครัฐได้ในเวลาที่จำกัดมาก แต่ในปี 2566 วิกฤต COVID-19 คลี่คลายไปมากแล้ว รัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาหลังการเลือกตั้ง ควรต้องหยิบประเด็นนี้มาพิจารณา และหารือกันว่าความเป็นเจ้าของ "โครงสร้างพื้นฐานการเงิน" ของประเทศไทยควรเป็นของใครกันแน่ ภารกิจในอนาคตระยะยาวของเป๋าตังควรเป็นอย่างไร และทำอย่างไรจึงจะเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจอื่นๆ เข้ามาแข่งขันบนโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ได้อย่างเป็นธรรมและเสรี
# Twitter ขึ้นคำเตือนลิงก์ไป Substack ว่าไม่ปลอดภัย หลังเปิดตัว Notes ฟีเจอร์ที่คล้าย Twitter เหตุการณ์นี้เริ่มต้นเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อ Substack แพลตฟอร์มสมัครสมาชิกอ่านข่าวแบบเสียเงิน ที่ให้นักเขียนสามารถสร้างรายได้ผ่านแพลตฟอร์มจากงานเขียน ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ Notes ที่นักเขียนสามารถโพสต์คอนเทนต์ขนาดสั้น และผู้อ่านสามารถโต้ตอบ โควท หรือกดไลค์ ได้จากหน้าฟีด เนื้อหาที่โพสต์ยังสามารถแทรกลิงก์และรูปภาพได้ด้วย ฟีเจอร์นี้จึงสามารถมองได้ว่าคล้ายกับ Twitter หลังประกาศฟีเจอร์นี้ Twitter ก็เริ่มตอบโต้ผ่านการบล็อกและจำกัดการเข้าถึง เช่น คอนเทนต์ใน Substack ไม่สามารถ embed ทวีตในเนื้อหาได้ ต่อมาจำกัดทวีตที่มีลิงก์ไปยังเว็บ Substack ไม่สามารถรีทวีต เมนชัน หรือไลค์ได้ ทำให้ผู้ก่อตั้ง Substack ออกมาเรียกร้องจากปัญหาดังกล่าว แนวทางดังกล่าวอาจมองว่าคล้ายข้อกำหนด ห้ามแชร์ลิงก์หรือชวนผู้ติดตามใน Twitter ย้ายไปยังแพลตฟอร์มอื่นก่อนหน้านี้ ล่าสุด Twitter ยกระดับการจำกัด Substack โดยทวีตที่มีลิงก์ที่ไปยังเว็บ Substack เมื่อกดเข้าไปดู Twitter จะแสดงข้อความเตือนว่าไม่ปลอดภัย (ถึงแม้จริง ๆ ปลอดภัย) ทำให้ผู้ก่อตั้ง Substack ออกมาเรียกร้องให้ Twitter แก้ไขปัญหานี้อีกครั้ง ทั้งนี้ Twitter และซีอีโอ Elon Musk ยังไม่ได้ออกมาชี้แจงประเด็นดังกล่าว ที่มา: The Verge [1], [2] ฟีเจอร์ Notes ของ Substack ตัวอย่างทวีตที่เกิดปัญหา ไม่สามารถโต้ตอบได้เมื่อมีลิงก์ไป Substack หากค้นหาคำว่า Substack ใน Twitter คีย์เวิร์ดจะถูกเปลี่ยนเป็น newsletter
# Meta เปิดซอร์ส Buck2 ซอฟต์แวร์จัดการระบบคอมไพล์ขนาดใหญ่ที่ใช้ภายในบริษัท Meta เปิดซอร์สโค้ดของ Buck2 ซอฟต์แวร์จัดการระบบคอมไพล์ขนาดใหญ่ (large-scale build system) ออกให้สาธารณะใช้งาน ซอร์สโค้ดอยู่บน GitHub เดิมที Meta มีซอฟต์แวร์ Buck หรือปัจจุบันเรียก Buck1 เปิดซอร์สมานานหลายปีแล้ว แต่ Buck2 เป็นการเขียนระบบใหม่ขึ้นมาทั้งหมด แยกจาก Buck1 อย่างชัดเจน โดยออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ให้ประมวลผลแบบขนานได้ดีขึ้น แยกส่วนแกนหลักกับระบบรองรับแต่ละภาษาโปรแกรมออกจากกัน เป็นต้น ส่งผลให้ประสิทธิภาพดีขึ้นจาก Buck1 สองเท่า ตอนนี้วิศวกร Meta หลายพันคนใช้งาน Buck2 กับงานภายในอยู่แล้ว ต้องสั่ง build ซอฟต์แวร์หลายล้านครั้งต่อวัน ซึ่ง Buck2 สามารถรองรับได้สบาย ตัวแกนของ Buck2 เขียนด้วยภาษา Rust ส่วนโค้ดจัดการคอมไพล์แต่ละภาษาเขียนด้วยภาษา Starlark (เป็นภาษาสไตล์ Python ที่สร้างมาสำหรับ Bazel ซอฟต์แวร์จัดการระบบคอมไพล์ของกูเกิล), ฟีเจอร์อื่นคือรองรับ remote execution การสั่งรันงานในเครื่องระยะไกล, รองรับระบบไฟล์เสมือน virtual file system สั่งดึงไฟล์ที่ต้องการคอมไพล์จาก repository ได้แบบออนดีมานด์ ที่มา - Meta Engineering
# วินโดวส์มีอยู่ทุกที่ ไมโครซอฟท์รองรับ Windows 365 บนสมาร์ททีวี LG, มือถือ ThinkPhone ไมโครซอฟท์มีบริการ Windows 365 ที่รันเดสก์ท็อปจากคลาวด์ไมโครซอฟท์ (Cloud PC) แล้วสตรีมหน้าจอมายังอุปกรณ์ปลายทาง ใช้งานผ่านเว็บเบราว์เซอร์หรือแอพ Windows 365 บนพีซี บริการนี้เปิดตัวครั้งแรกตั้งแต่ปี 2021 ล่าสุดไมโครซอฟท์ประกาศขยายการใช้งาน Windows 365 ให้รันบนสมาร์ททีวีได้ด้วย เบื้องต้นยังรองรับเฉพาะสมาร์ททีวี LG รุ่นปี 2023 ขึ้นไป โดยจะมีแอพ Windows 365 ให้ดาวน์โหลด จากนั้นต่อเมาส์และคีย์บอร์ดผ่านบลูทูธ ก็ใช้งานเดสก์ท็อป Windows 11 จากหน้าจอทีวีได้เลย อุปกรณ์อีกประเภทที่จะได้ Windows 365 คือ สมาร์ทโฟน ThinkPhone ของ Motorola ระบุว่าจะมีโหมดรัน Cloud PC ได้ด้วย โดยจำเป็นต้องต่อจอนอกเพื่อใช้งาน ไมโครซอฟท์ยังเปิดตัวแพ็กเกจ Windows 365 Frontline สำหรับพนักงานแบบเข้ากะ ที่ซื้อไลเซนส์เดียวใช้กับพนักงานได้ 3 คนด้วย ที่มา - Microsoft
# MSI โดนแฮ็กระบบ แฮ็กเกอร์ได้ซอร์สโค้ดของบริษัท, เตือนให้ระวังเฟิร์มแวร์ฝังมัลแวร์ MSI ยอมรับว่าโดนแฮ็กระบบภายใน แฮ็กเกอร์เข้าถึงซอร์สโค้ดของบริษัทด้วย ทำให้ MSI ต้องออกมาเตือนลูกค้าว่าจากนี้ไปขอให้ดาวน์โหลดไฟล์เฟิร์มแวร์ หรือ BIOS จากช่องทางอย่างเป็นทางการของบริษัทเท่านั้น เพราะมีโอกาสโดนฝังมัลแวร์สูงหากดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ภายนอก เหตุการณ์นี้มีแก๊งแรนซัมแวร์ชื่อ Money Message ออกมาประกาศตัวว่าได้ข้อมูลของ MSI ไป และเรียกค่าไถ่เป็นเงิน 4 ล้านดอลลาร์ แลกกับการไม่ปล่อยข้อมูลเหล่านี้ต่อสาธารณะ ที่มา - MSI, PCMag
# Apple อัพเดต iOS 16.4.1 แก้บั๊ก Siri และ macOS 13.3.1 แก้ไขปัญหาปลดล็อกด้วย Apple Watch แอปเปิลออกอัพเดตระบบปฏิบัติการ iOS 16.4.1 และ iPadOS 16.4.1 สำหรับผู้ใช้ iPhone และ iPad รุ่นที่รองรับ ซึ่งออกมาไม่ถึง 2 สัปดาห์จากเวอร์ชันก่อนหน้า iOS 16.4 ในอัพเดต iOS 16.4.1 นี้ แอปเปิลระบุแก้ปัญหาและอัพเดตความปลอดภัยทั่วไป โดยมีรายการที่สำคัญคือ แก้ปัญหาอีโมจิมือผลัก ไม่แสดงสีผิวในหลายโทน และแก้บั๊ก Siri ไม่ตอบสนองในบางกรณี แอปเปิลยังอัพเดต macOS Ventura 13.3.1 แก้ไขปัญหาที่การปลดล็อก Mac ด้วย Apple Watch ไม่สามารถทำงานในบางกรณี และแก้ไขปัญหาอีโมจิมือผลัก ไม่แสดงสีผิวในหลายโทน เหมือนกับ iOS 16.4.1 ที่มา: MacRumors [1] และ [2]
# Resident Evil 4 Remake ขายได้ 4 ล้านชุดแล้ว ออก DLC ฟรี โหมด The Mercenaries Capcom ประกาศความสำเร็จของเกม Resident Evil 4 Remake ที่นอกจากทำคะแนนวิจารณ์ได้ดีเยี่ยม ยังทำยอดขายได้ 4 ล้านชุดหลังวางขายมาราว 2 สัปดาห์ Capcom ยังออกโหมด The Mercenaries ที่ให้ต่อสู้กับซอมบี้แบบจำกัดเวลา (time limit) เป็น DLC ฟรีให้กับผู้เล่นทุกคนด้วย แต่การแจกฟรีอย่างเดียวคงไม่ใช่วิถีแบบ Capcom เพราะใน DLC ยังมีทางเลือกการอัพเกรดอาวุธแบบรวดเร็ว ไม่ต้องรอเก็บสะสม จ่ายเงินซื้อ Exclusive Upgrade Tickets แทนได้เลย ซื้อตั๋วอัพเกรดไปแลกได้ในร้าน Merchant ในเกม ราคาตั๋วใบละ 2.99 ดอลลาร์ มีทั้งหมด 23 ใบ หากซื้อทั้งหมดจะใช้เงิน 55.89 ดอลลาร์ ใกล้เคียงกับราคาเกมแล้ว ที่มา - VGC, VGC
# Miyamoto บอกตอนนี้นินเทนโดเป็นมากกว่าบริษัทเกม กลายเป็นแบรนด์ความบันเทิงสำหรับครอบครัว Shigeru Miyamoto แห่งนินเทนโด ให้สัมภาษณ์กับ GameInformer เนื่องในโอกาสภาพยนตร์ Super Mario Bros. ออกฉาย มีประเด็นที่น่าสนใจเรื่องการปรับทิศทางของนินเทนโดให้เป็นมากกว่าบริษัทเกม Miyamoto บอกว่าในอดีต นินเทนโดมีมุมมองว่าความสำเร็จของตัวเองขึ้นกับว่าเกมที่สร้างขึ้นประสบความสำเร็จแค่ไหน นินเทนโดสร้างคาแรกเตอร์เพื่อให้เกมสนุกที่สุด แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเกินกว่าการทำเกม แต่เมื่อราว 10 ปีที่ผ่านมา นินเทนโดมีมุมมองใหม่ว่าความบันเทิงมีหลายรูปแบบ นินเทนโดมองตัวเองเป็นแบรนด์มากกว่า เป็นแบรนด์ที่ปลอดภัยสำหรับครอบครัว แบรนด์ที่ครอบครัวจำเป็นต้องซื้อหามาใช้งาน เมื่อเปลี่ยนยุทธศาสตร์แล้ว เราจึงเห็นการขยายตัวของนินเทนโดไปยังสื่อชนิดอื่นๆ เช่น สวนสนุก Super Nintendo World, ชุดของเล่นที่ทำร่วมกับ Lego และล่าสุดคือภาพยนตร์แอนิเมชัน Super Mario Bros. ที่มา - GameInformer
# Samsung รายงานผลประกอบการเบื้องต้น กำไรลดลงมาก เตรียมลดกำลังผลิตชิปหน่วยความจำ ซัมซุงรายงานผลประกอบการเบื้องต้นของไตรมาสที่ 1 ปี 2023 (Preliminary) ประเมินรายได้ที่ 63 ล้านล้านวอน ลดลง 19% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว ส่วนกำไรจากการดำเนินงานลดลงค่อนข้างมาก จาก 14.1 ล้านล้านวอนในปี 2022 เหลือ 0.6 ล้านล้านวอน ในรายงานนี้ซัมซุงยังไม่ได้ลงรายละเอียดว่ารายได้และกำไรที่ลดลงมาจากสาเหตุใด ซึ่งจะรายงานตัวเลขละเอียดอีกครั้งช่วงปลายเดือน อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์ประเมินว่ายอดขาย Galaxy S23 ทำได้ดีมากกว่า S22 เมื่อปีที่แล้ว ซัมซุงยังรายงานว่าบริษัทเตรียมลดกำลังการผลิตชิปหน่วยความจำ มาอยู่ในระดับที่เหมาะสมจากปัญหาซัพพลายมีมากเกินไป ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น แต่ยังมองระยะยาวเติบโตดี จึงจะลงทุนเตรียมขยายกำลังการผลิตและวิจัยต่อเนื่อง ที่มา: The Verge
# Twitter ต่างประเทศปิดการมองเห็นลิงก์ที่มีคำว่า “เกย์” “ทรานส์” ไม่ขึ้นเป็นพรีวิวในช่องแชต DM ผู้ใช้ Twitter รายงานว่ามีการปิดการมองเห็นข้อความที่เกี่ยวข้องกับ LGBTQ+ ในช่อง DM ของ Twitter ซึ่งทางสำนักข่าว Insider ได้ทำการทดสอบโดยส่งลิงก์ข้อความ “Here's a test tweet that has the word gay in it" ซึ่งผลปรากฏว่าลิงก์ข้อความที่มีคำว่า trans, transgender, gay, lesbian, queer, bisexual, และ intersex จะปรากฏเป็นลิงก์ URL ที่ไม่แสดงพรีวิวเว็บไซต์ แต่กลับเป็นลิงก์ข้อความอย่างเดียว ยกเว้นคำว่า "bisexuality" ที่ยังโชว์พรีวิวได้อยู่ (แต่พอลองในประเทศไทยข้อความทั้งหมดยังคงปรากฏช่องพรีวิวตามปกติอยู่ทั้งในภาษาไทยและภาษาอังกฤษ) ทดสอบเพิ่มเติมรอบที่ 2 ด้วยการพิมพ์ลิงก์ที่มีคำว่า "guns" ซึ่งยังไม่ปรากฏหน้าพรีวิว มีเพียงแค่ลิงก์ข้อความเท่านั้น แต่พอทดลองคำที่สอง "drugs" ปรากฏว่าโชว์หน้าพรีวิวได้ตามปกติ ถึงแม้ว่าคำเหล่านี้จะไม่ได้ถูกแบนโดยตรง แต่วิธีการดังกล่าวอาจเป็นรูปแบบการตรวจสอบเนื้อหาใหม่ของ Twitter ภายใต้การบริหารของ Elon Musk ซึ่งทาง Twitter ยังไม่ได้ออกมาชี้แจ้งว่าเป็นความผิดพลาดของระบบหรือตั้งใจให้เกิดขึ้นกันแน่ แต่ Elon Musk เคยกล่าวว่าต้องการสนับสนุน "free speech absolutist" (เสรีภาพในการแสดงออก) ก่อนที่จะเข้าซื้อ Twitter ด้วยมูลค่า 44 พันล้านดอลลาร์ ที่มา: Insider
# พรรคเพื่อไทยประกาศแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านวอลเล็ต ใช้บล็อกเชน พรรคเพื่อไทย ประกาศนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ให้ประชาชนทุกคนที่มีอายุเกิน 16 ปีขึ้นไป เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามนโยบายที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ วันนี้ (7 เมษายน) พรรคเพื่อไทยได้แถลงรายละเอียดเพิ่มเติมของนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต โดยมี นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี, นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานนโยบายและประธานกรรมการด้านเศรษฐกิจ, นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรค, นายจักรพงษ์ แสงมณี นายทะเบียนพรรค เป็นผู้ร่วมแถลง สรุปรายละเอียดที่ถอดความโดยเว็บไซต์มติชน ตั้งใจให้เป็นเงินดิจิทัล ไม่ให้เงินสด เพราะต้องการนำเทคโนโลยีมาจำกัดวิธีการใช้เงินบางประเภทที่ไม่เหมาะสมได้ เช่น การพนัน ยาเสพติด หนี้นอกระบบ สามารถนำเงินดิจิทัลไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าน้ำมันได้ แต่ไม่อนุญาตให้ใช้ซื้อบุหรี่และใช้หนี้นอกระบบ กำหนดระยะเวลาให้ใช้ภายใน 6 เดือน และจำกัดรัศมีการใช้งานตามบัตรประชาชน 4 กิโลเมตร หากพื้นที่ไหนไม่มีร้านค้าสามารถขยายได้ (นายเศรษฐาบอกว่าด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนจะขยายได้เป็น 7.5 กิโลเมตรหรือไกลกว่านั้น) แต่จะไม่อนุญาตให้ใช้นอกพื้นที่ได้เพราะต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน หากอาศัยอยู่คนละที่กับที่อยู่ในทะเบียนบ้าน จำเป็นต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเท่านั้น นโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ในช่วง 6 เดือนจะมีมาตรการทางเศรษฐกิจอื่นๆ รองรับด้วย จากนี้ไป คนไทยจะมี 2 บัญชี คือ บัญชีออมทรัพย์ทั่วไป และ บัญชีดิจิทัลวอลเล็ต โดยใช้บล็อกเชนเขียนเงื่อนไขลงไปบนเงิน ว่าต้องใช้ภายใน 6 เดือน และรัศมี 4 กิโลเมตร ซึ่งแตกต่างจากแอพเป๋าตังเป็นเงินในโลกยุคเก่า หลังครบ 6 เดือนแล้ว สิ่งที่ได้กลับมาในระยะยาวคือโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินยุคใหม่ ที่อิงอยู่บน central bank digital currency (CBDC) จะให้ประชาชนเลือกระหว่างบัตรคนจน กับกระเป๋าเงินดิจิทัล อย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนที่มาของเงินจะมาจากงบประมาณบัตรคนจน 5 หมื่นล้านบาท, การรีดงบประมาณส่วนเงินในรายจ่ายงบประมาณปี 67 "หลายแสนล้าน", การเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้นจากการกระตุ้นเศรษฐกิจอีก 2 แสนล้าน คาดว่าจะเริ่มโครงการได้วันที่ 1 มกราคม 2567 ที่มา - มติชน, Voice TV, ไทยรัฐ
# Reuters แฉ พนักงาน Tesla เข้าถึงภาพกล้องรถลูกค้าได้ แชร์กันภายในเป็นมีม Tesla บริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ยืนยันว่าความเป็นส่วนตัวของลูกค้าเป็นเรื่องสำคัญแต่ในบทความของ Reuters ได้เขียนถึงภาพและวิดีโอในกล้องหน้ารถยนต์ที่หลุดมาจากพนักงานของ Tesla นำมาซึ่งข้อสงสัยเรื่องความปลอดภัยและการละเมิดความส่วนตัวของผู้ใช้ ช่วงปี 2019-2022 มีกลุ่มพนักงาน Tesla ได้แชร์ภาพและวิดีโอ ที่บันทึกจากกล้องหน้ารถยนต์ผ่าน Mattermost ช่องแชตภายในของบริษัท มีตั้งแต่ภาพทั่วไปเช่น ป้ายจราจร, สุนัข, ภาพคนล้ม ที่พนักงานนำมาทำเป็นมีมตลกและพูดเป็นเรื่องขำขันกัน หรือเหตุการณ์อุบัติเหตุรุนแรงที่เกิดในปี 2021 โดยเนื้อหาแสดงภาพรถ Tesla ขับด้วยความเร็วสูงอยู่ในชุมชนที่มีเด็กขี่จักรยานอยู่และเกิดอุบัติเหตุชนเข้าอย่างแรง ซึ่งวิดีโอตัวนี้ได้กระจายไปทั่วออฟฟิศ Tesla ผู้บริหาร Tesla ยังโดน ภาพหลุดในโรงรถของ Elon musk อีกเหตุการณ์เป็นภาพจากกล้องที่อยู่ในโรงรถแห่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นทรัพย์สินส่วนบุคคล ซึ่งมีรถยนต์ Wet Nellie จากหนัง James Bond “The Spy Who Loved Me” จอดอยู่ภายในโรงรถ โดยเจ้าของรถยนต์ก็ไม่ใช่คนอื่นไกล เป็นของ Elon musk ซึ่งเป็น CEO ของ Tesla เอง ที่ได้ทำการประมูลมาด้วยมูลค่า 968,000 เหรียญสหรัฐในปี 2013 จากรายงานการติดต่อสัมภาษณ์พนักงานเก่าของบริษัทประมาณ 300 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ โดยพนักงานบางส่วนบอกว่าไม่ได้เห็นวิดีโอหรือภาพเก็บไว้ รวมไปถึงไม่สามารถระบุได้ว่าขั้นตอนการบันทึกภาพสามารถทำได้อย่างไร แต่บางคนก็บอกว่ามีการบันทึกภาพเพื่อวัตถุประสงค์ของการทำงาน เช่น ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานหรือหัวหน้างาน โดยพนักงานมีทั้งมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติเพราะได้รับการยินยอมจากลูกค้าแล้ว แต่อีกส่วนก็ไม่พึงพอใจเพราะสิ่งนี้เป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวอย่างแท้จริง และลูกค้าที่ซื้อรถก็คงไม่คิดว่ารถที่พวกเขาซื้อนั้นจะมีความไม่เป็นส่วนตัวอยู่ ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาหน่วยงานคุ้มครองข้อมูลของเนเธอร์แลนด์ Dutch Data Protection Authority (DPA) ได้แถลงว่า ภาพหลุดจากกล้องเกิดจาก "Sentry Mode" ฟีเจอร์แจ้งเตือนสิ่งผิดปกติ โดยจะแจ้งเตือนไปยังเจ้าของรถเมื่อพบความผิดปกติโดยจะบันทึกเก็บไว้ให้เจ้าของสามารถย้อนกลับไปดูได้ ซึ่งข้อสรุปจาก DPA ปรากฏว่า Tesla ไม่ได้เป็นฝ่ายผิด แต่เจ้าของรถยนต์ที่ไปจอดไว้ ณ จุดต่างๆ ผิด เพราะสามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่คนอื่นกำลังทำอยู่ได้ ถือเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น หลังจากนั้น Tesla ได้ปรับปรุง Sentry Mode หลายอย่าง เช่น มีไฟหน้ารถกะพริบแจ้งเตือนให้ผู้เดินผ่านรู้ว่าอาจถูกบันทึกภาพ ถึงแม้ว่าบริษัทจะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าภาพหรือวิดีโอที่ถูกแชร์ไม่ได้แสดงถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้โดยตรง และตอนนี้ได้มีการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูลส่วนตัวถึงวิธีการจัดการกับเนื้อหาเพื่อไม่ให้ละเมิดความเป็นส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังไม่ได้มีการประเมินผลในทางกฎหมายในหลายประเทศ แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ตอนนี้มีผู้ใช้หลายคนเริ่มกังวลใจในการใช้รถ Tesla ว่าระบบเทคโนโลยีของรถยนต์จะสามารถรักษาความเป็นส่วนตัวได้มากน้อยแค่ไหน ที่มา: Reuters
# ไมโครซอฟท์ออก Windows 365 Frontline สำหรับพนักงานแบบเข้ากะ 1 ไลเซนส์ใช้ได้ 3 คน ไมโครซอฟท์เปิดตัว Windows 365 Frontline เป็นบริการสตรีมเดสก์ท็อปผ่านเบราว์เซอร์ Cloud PC สำหรับองค์กรที่มีพนักงานแบบพาร์ทไทม์หรือพนักงานแบบเข้ากะ (shift worker) ที่สลับกันมาใช้พีซีเครื่องเดียวกัน เช่น พยาบาล พนักงานในโกดังสินค้า ฯลฯ แต่ยังต้องการเดสก์ท็อปและพื้นที่เก็บข้อมูลแยกของแต่ละคน ความแตกต่างสำคัญของ Windows 365 Frontline กับไลเซนส์ของไมโครซอฟท์แบบอื่นๆ (เช่น Windows 365 Enterprise) คือวิธีคิดค่าไลเซนส์ที่ถูกกว่ากันมาก ซื้อไลเซนส์เดียวสามารถใช้กับพนักงานได้ 3 คน เท่ากับว่าหากองค์กรมีพนักงานแบบพาร์ทไทม์ 300 คน ก็ซื้อเพียง 100 ไลเซนส์เท่านั้น (สูตรคำนวณแบบง่ายๆ คือหนึ่งวันมี 3 กะ สลับกันใช้งานพีซีเครื่องเดียวกัน) ตอนนี้ Windows 365 Frontline ยังอยู่ในสถานะ public preview และยังไม่ประกาศราคา ส่วน Windows 365 Enterprise ราคาเริ่มต้นที่ 31 ดอลลาร์ต่อผู้ใช้ต่อเดือน ที่มา - Microsoft
# สรุปแถลงข่าวจับกุม 9Near คนร้ายเป็นทหาร ต้นสังกัดไม่เกี่ยวกับเทคโนโลยี, ยังไม่ระบุว่าหลุดจากไหน เมื่อ 15.00 ที่ผ่านมา กระทรวงดิจิทัลฯ ร่วมกับ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท) แถลงข่าวกรณีการจับกุมแฮกเกอร์ 9Near ที่แฮกข้อมูลคนไทย 55 ล้านคน ระบุว่าคนร้ายเป็นทหารยศ จ่าสิบโท โดยต้นสังกัดที่ทำงาน ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับภารกิจด้านเทคโนโลยี และจากการสืบสวน คนร้ายมีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ค่อนข้างมาก ส่วนแรงจูงใจคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ขณะที่การจับตัวคนร้าย เนื่องจากเป็นทหาร ยังไม่สามารถจับกุมได้ทันที ต้องผ่านกระบวนการทางผู้บังคับบัญชา ตอนนี้ได้ส่งหนังสือไปยังต้นสังกัดแล้ว เพื่อตรวจสอบว่าตอนนี้ยังรับราชการอยู่หรือไม่ ถ้ายังรับอยู่ ต้องเป็นหน้าที่ของต้นสังกัดในการติดตามตัวและดำเนินการ ส่วนคนร้ายตอนนี้ติดต่อไม่ได้ รวมถึงภรรยาคนร้ายด้วย ในแง่ของช่องโหว่ ณ ตอนนี้ยังสืบสวนสอบสวนอยู่ และยังไม่ยืนยันว่าหลุดออกมาจากระบบไหน รวมถึงยังไม่ยืนยันด้วยว่าข้อมูลถึง 55 ล้านรายการจริงหรือไม่ เพราะต้องรอตรวจสอบจากหลักฐานที่ยึดจากคนร้าย ว่าใช้อุปกรณ์ของตัวเองในการแฮ็กแค่ไหนอย่างไร รวมถึงมีข้อมูล 55 ล้านรายการจริงๆ หรือแค่โม้ ทาง บช.สอท แนะนำแนวทางแก้ปัญหาข้อมูลหลุดด้วยว่า ด้วยสำรวจความปลอดภัยของตัวเอง ไม่เอาข้อมูลส่วนตัว เช่น วันเกิดมาตั้งเป็นรหัสผ่าน หรือมีเบอร์แปลกๆ โทรมา ไม่รู้จักก็ไม่ควรรับ นายชัยวุฒิ รัฐมนตรี DES ระบุด้วยว่า ขอให้ประชาชนที่ได้รับความเดือนร้อนจากกรณีนี้ (ข้อมูลหลุด) ขอให้เข้าแจ้งความ ซึ่งตาม PDPA ฟ้องได้หลายกรณี ตามความเสียหายที่เกิด โดยฟ้องกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะศาลแพ่ง ศาลอาญา หรือสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ส่วนการเอาผิดหน่วยงานที่ทำข้อมูลหลุด ยังตอบไม่ได้ตอนนี้ ว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร เป็นหน้าที่ของกรรมการที่ดูแลเรื่องนี้ ส่วนในแง่มาตรการ ก็ระบุว่ารัฐบาลมีมาตรการป้องกันเรื่องนี้อยู่แล้ว หน่วยงานไหนของภาครัฐที่อาจมีช่องโหว่ก็จะมีคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (กมช.) เข้าไปดำเนินการ อุดช่องโหว่ รวมถึงเรียกร้องให้ทุกหน่วยงาน ช่วยกันดูแลระบบให้ปลอดภัย เพราะมีหลายหน่วยงานที่มีข้อมูลลักษณะนี้่อยู่ ที่มา - กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
# IETF ออกมาตรฐาน Messaging Layer Security มาตรฐานกลางแห่งการเข้ารหัส end-to-end IETF ประกาศรองรับมาตรฐาน Messaging Layer Security (MLS) สำหรับการส่งข้อมูลเข้ารหัสแบบ end-to-end ที่ได้รับความนิยมกันในหมู่โปรแกรมแชตต่างๆ เช่น Signal แต่ MLS จะเปิดทางให้แอปต่างๆ ที่อาจเคยต้องพัฒนาโปรโตคอลของตัวเองสามารถใช้โปรโตคอลกลางได้ รวมถึงแอปพลิเคชั่นแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่แชตเช่นกัน กระบวนการเชื่อมต่อแบบเข้ารหัสแบบ end-to-end นั้นมีองค์ประกอบสำคัญคือ ตัวกลางยืนยันตัวตน (Authentication Service - AS) และตัวกลางส่งข้อมูล (Delivery Service - DS) สำหรับ MLS นั้นจะถือว่า AS เชื่อถือได้ไม่ได้โดนแฮก แต่ DS นั้นไม่จำเป็นต้องน่าเชื่อถือ ฟีเจอร์สำคัญของ MLS คือการส่งข้อมูลแบบกลุ่ม เช่น ห้องแชตขนาดใหญ่ ที่กระบวนการแลกกุญแจแบบ end-to-end ทำได้ลำบาก MLS ออกแบบให้กระบวนการแลกกุญแจมีประสิทธิภาพ สามารถสร้างห้องแชตที่มีผู้ร่วมนับพันได้ ตอนนี้มีผู้ใช้ MLS อยู่ก่อนแล้วคือ Webex และ RingCentral แต่โปรแกรมแชตอื่นๆ ก็มีแผนหันมาใช้ MLS เช่น Wire, Wickr, และ Matrix ตัวไลบรารีโอเพนซอร์สก็มีออกมาแล้วจำนวนหนึ่ง ที่มา - IETF
# Pandas ไลบรารีประมวลข้อมูลออกเวอร์ชั่น 2.0 Pandas ไลบรารีสำหรับการประมวลข้อมูลตารางยอดนิยมในภาษา Python ออกเวอร์ชั่น 2.0 แม้ว่าการทำงานโดยทั่วไปจะเหมือนเดิมแทบทุกประการ แต่ก็มีความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้โค้ดเดิมอาจจะทำงานกับเวอร์ชั่นใหม่ไม่ได้ ในแง่การใช้งาน ส่วนสำคัญคือระบบแพ็กเกจที่มีการจัดชุดไลบรารีที่เกี่ยวข้องมาให้เป็นชุดๆ เช่น pandas[performance] จะติดตั้งไลบรารีเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเร่งความเร็ว หรือ pandas[excel] ก็จะติดตั้งไลบรารีที่เกี่ยวกับการอ่านเขียนไฟล์ Excel มาให้ สำหรับด้านประสิทธิภาพ ระบบ copy-on-write จะ copy จริงต่อเมื่อมีการแก้ไขค่าเท่านั้น หากยังไม่ได้แก้ไขก็จะเป็น view อ้างอิงไปที่ข้อมูลเดิม Pandas นั้นออกเวอร์ชั่น 1.0 เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา สำหรับการตัด major version รอบนี้ก็มีการปิดฟังก์ชั่นที่เคยประกาศ deprecated ไว้แล้วจำนวนมาก ดังนั้นหากโค้ดใครพัฒนามานานแล้วอาจจะต้องระวังก่อนอัพเกรด ที่มา - Pydata
# เปิดตัวโลโก้ EA Sports FC เกมฟุตบอลยุคหลัง FIFA หลังประกาศข่าวมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เรื่องการรีแบรนด์เกมฟุตบอล FIFA ของ EA Sports ล่าสุด EA Sports เปิดตัวโลโก้ใหม่ของ EA Sports FC แล้ว ด้วยการเป็นพาร์ทเนอร์ กับลีคฟุตบอลและสโมสรฟุตบอลต่างๆ เหมือนเดิม EA บอกว่า โลโก้ของ EA Sports FC จะเริ่มปรากฎในในการแข่งขันฟุตบอลของลีคต่างๆ ตั้งแต่ลีคใหญ่อย่าง Premier League, La Liga, Bundesliga, Serie A และ Ligue 1 ไปจนถึงลีคเล็กๆ ตามภูมิภาคต่างๆ EA บอกว่าสาเหตุที่เลือกโลโก้สามเหลี่ยม เพราะเป็นรูปทรงที่คุ้นเคยกันอยู่แล้วในวงการฟุตบอล (ในแง่ของแผนการเล่น หรือรูปแบบการส่ง การยืนตำแหน่ง หรือการสร้างสรรค์เกม) ไปจนถึงเป็นรูปทรงที่อยู่ใน DNA ของเกมฟุตบอล EA มานาน ตั้งแต่ยุค 8-bit จนถึงปัจจุบัน ที่เป็นสัญลักษณ์ระบุการควบคุมตัวนักฟุตบอลที่อยู่บนหัว ที่มา - EA Sports
# คีย์บอร์ด SwiftKey เพิ่มฟีเจอร์จาก Bing สั่งให้ AI ช่วยพิมพ์ข้อความแทนได้เลย ไมโครซอฟท์ยังเดินหน้าผนวกฟีเจอร์แชทของ New Bing ให้กับผลิตภัณฑ์อื่นของตัวเอง เช่น Microsoft Edge, ช่องค้นหาของ Windows 11, บ็อตใน Skype ล่าสุดแอพคีย์บอร์ด SwiftKey เป็นอีกผลิตภัณฑ์ที่ได้ฟีเจอร์แชทจาก Bing เข้ามาด้วย โดยยังมีเฉพาะ SwiftKey เวอร์ชัน Beta บน Android เท่านั้น รูปแบบการใช้งานเหมือนกับ Bing บนหน้าเว็บ ผู้ใช้สามารถเลือกได้ทั้งโหมด search, tone, chat แต่เนื่องจากมันเป็นแอพคีย์บอร์ด โหมดที่เหมาะที่สุดคงเป็น tone ที่สั่งให้ AI ช่วยแต่งข้อความยาวๆ (เช่น ในอีเมล) โดยที่เราไม่ต้องพิมพ์เอง สามารถเลือกโทนของข้อความได้หลากรูปแบบ เช่น Professional, Casual, Polite, Social Post ที่มา - ZDNet, The Verge
# AIS Business เปิดแผนให้บริการลูกค้าธุรกิจปี 2023 พร้อมก้าวไปกับองค์กรด้วยแนวทาง “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” ชื่อ AIS เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะผู้ให้บริการโทรคมนาคมอันดับหนึ่งของไทย แต่หลายปีที่ผ่านมา AIS ก็ได้ทำ Transformation ปรับเปลี่ยนแนวทางของบริษัทกลายเป็น Digitial Life Service Provider ที่ลูกค้าจะสามารถเลือกใช้บริการจาก AIS ได้หลากหลายยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่การสื่อสารที่เป็นท่อเชื่อมต่อไปยังบริการอื่นๆ เท่านั้น แต่บริการต่างๆ ที่สำคัญในยุคดิจิทัลก็สามารถเลือกใช้ AIS ได้เสมอ และขั้นต่อไปของ AIS คือการก้าวไปสู่องค์กรโทรคมนาคมอัจฉริยะ หรือ Cognitive Tech-Co เป็นการขยายบริการ จากเดิมที่เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์สู่การเป็นผู้ให้บริการที่รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไรหรือมีปัญหาการใช้งานอย่างไรบ้าง ผ่านการใช้งานเทคโนโลยีอย่าง AI, Data Analytics, Intelligent IT, และ Autonomous Network AIS Business บริการฝั่งลูกค้าองค์กรของ AIS แถลงถึงแนวทางการทำธุรกิจในปี 2023 โดยประกาศแนวทาง “เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน” ชู 3 มิติได้แก่ Growth, Trust, Sustainable Growth: Accelerating Growth Beyond Pandemic Recovery เร่งการเติบโตของธุรกิจโดยการสร้างขีดความสามารถใหม่ๆ ด้วยเครื่องมือทางดิจิทัล Trust: Modernizing Trusted Digital Infrastructure to Improve Efficiency, Agility and Security บริการโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่ทันสมัย มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และเชื่อถือได้ Sustainability: Creating Sustainable Business with Digital Solutions สร้างระบบนิเวศนวัตกรรมเพื่อธุรกิจอย่างยั่งยืน โดย AIS Business สร้างแฟลตฟอร์มที่มาพร้อมกับโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้องค์กรลูกค้าสามารถทำ Digital Transformation ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการ หลังจากช่วงหลายปีที่ผ่านมา AIS ได้นำร่อง ยกระดับตัวเองจากผู้ให้บริการโทรคมนาคมสู่การให้บริการดิจิทัลเต็มรูปแบบมาก่อนแล้ว ทุกวันนี้ AIS Business เป็นผู้ให้บริการ ดิจิทัลเต็มรูปแบบที่ได้รับความไว้วางใจสูงสุดในการจัดอันดับของ GlobalData ที่สำรวจจาก 200 บริษัทชั้นนำของไทยทั้งในและนอกตลาดหลักทรัพย์ และทาง AIS Business ยังขยายเครือข่ายพันธมิตรด้านเทคโนโลยีและธุรกิจชั้นนำกว่า 200 องค์กร พร้อมทั้งพัฒนาขีดความสามารถบุคลากรด้วยการเรียนรู้และได้รับใบรับรองด้านไอทีต่างๆ จำนวนมาก เพื่อความพร้อมในการให้บริการไอทีเต็มรูปแบบ เร่งการเติบโตและฟื้นฟูธุรกิจหลัง COVID-19 ธุรกิจในไทยจำนวนมากต้องประสบปัญหา และหยุดชะงักไปในช่วงเหตุการณ์ COVID-19 แต่หลังจากนี้ธุรกิจต้องการความพร้อมในการกลับมาเติบโต AIS Business ได้เตรียมเทคโนโลยีและโซลูชันที่หลากหลายเพื่อเร่งการเติบโตให้ธุรกิจ พร้อมกับความสามารถในการปรับตัวตามความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว แพลตฟอร์ม 5G และคลาวด์ของ AIS Business เปิดทางให้ธุรกิจสามารถปรับธุรกิจสู่การเป็นธุรกิจอัตโนมัติเต็มรูปแบบ สามารถนำบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็วและปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้งานทรัพยากรไอทีได้อย่างเต็มที่ ด้วยแพลตฟอร์ม และโครงสร้างพื้นฐานด้าน Digital ซึ่งรองรับการปรับตัวด้วยการเชื่อมต่ออุปกรณ์ทั้งหมดเข้าด้วยกันอย่างเต็มประสิทธิภาพ รองรับการพัฒนาซอฟต์แวร์ที่เข้ากับคลาวด์เต็มรูปแบบด้วย Cloud Native Platform ธุรกิจในยุคนี้ที่ต้องการการตัดสินใจจากข้อมูลเป็นสำคัญ AIS เองเป็นองค์กรที่มีการใช้ข้อมูลในการทำธุรกิจเป็นจำนวนมหาศาลอยู่แล้ว ทำให้ AIS Business มีความเชี่ยวชาญและพร้อมให้คำปรึกษากับธุรกิจว่าควรใช้ข้อมูลใดมาประกอบการตัดสินใจ และทำอย่างไรจึงจะได้ข้อมูลเหล่านั้นเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากพันธมิตรต่างๆ หรือการสร้างโซลูชัน IoT ให้เหมาะกับลูกค้าเพื่อเก็บข้อมูลได้ตามเวลาจริง เพื่อให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ได้ทันที การสร้างโซลูชันใหม่ๆ จาก AIS Business จะเปิดทางให้ธุรกิจสามารถเปลี่ยนตัวเองไปได้หลังจากนี้ จากก่อนหน้านี้ที่ AIS Business มุ่งสร้างโซลูชันใหม่ๆ สำหรับภาคการผลิต ในปีนี้จะมีโซลูชันเพื่ออุตสาหกรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจค้าปลีก, ธุรกิจขนส่ง, ธุรกิจการเงินการธนาคาร, หรือการจัดการอาคารและการจัดการเมือง สร้างโครงสร้างที่น่าเชื่อถือ ยืดหยุ่น พร้อมกับความปลอดภัย มุมที่สองที่ AIS Business เตรียมมุ่งไปคือการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่น่าเชื่อถือให้กับธุรกิจต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพที่ดี วางใจได้ ขณะเดียวกันก็มีความปลอดภัยสูง โครงสร้างส่วนแรกคือการให้บริการเน็ตเวิร์คที่ AIS Business สามารถช่วยองค์กรทั้งระดับสตาร์ตอัพไปจนถึงองค์กรขนาดใหญ่ให้สามารถเชื่อมต่อทุกจุดเข้าด้วยกันด้วยเครือข่ายที่ทันสมัย เช่นการเชื่อมต่อเครือข่ายด้วยเทคโนโลยี software-defined network ที่จะช่วยบริหารจัดการการใช้งานเครือข่ายให้มีประสิทธิภาพสูงสุด รวมทั้งสามารถควบคุมได้จากศูนย์กลาง พร้อมเชื่อมต่อกับเครือข่าย 5G ที่มีเสถียรภาพเพื่อยกระดับสำหรับการใช้งานเครือข่ายระดับองค์กร ทำให้องค์กรสามารถขยายบริการไปได้อย่างรวดเร็วกว่าที่เคยทำมา AIS Business มีบริการคลาวด์ที่ครบวงจรอย่าง AIS Cloud X ระบบนิเวศ Cloud อัจริยะ ที่พร้อมบริการหลายรูปแบบให้ธุรกิจเลือกใช้งานซึ่งพร้อมต่อเชื่อมกับ Infrastructure ในรูปแบบ MEC หรือ Edge ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ปลายทางสูงขึ้นได้โดยมี latency ต่ำ รวมถึง Infrastructure ที่พร้อมสนับสนุนการทำ hybrid/multi-cloud เปิดทางให้องค์กรสามารถใช้งานคลาวด์ รวมถึงศูนย์ข้อมูลในองค์กรเองผสานกันได้อย่างเหมาะสมโดยยังมีการจัดการที่ดี ตลาดจนโซลูชันเพื่อความต่อเนื่องในการให้บริการทั้งโครงสร้างแบบ High Availability และการทำศูนย์ข้อมูลสำรองในกรณีมีเหตุภัยพิบัติ Disaster Recovery ตลอดจนหากองค์กรมีเงื่อนไขในการเก็บข้อมูลทีมีความละเอียดอ่อนในประเทศตามเงื่อนไขการกำกับดูแลของอุตสาหกรรม AIS Business ก็มีบริการ Sovereign Cloud ให้บริการ เพื่อให้องค์กรมีความมั่นใจมากขึ้นในเรื่องเสถียรภาพ และความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูล ทั้งนี้หากองค์กรต้องการยกระดับความปลอดภัยของระบบดิจิทัลในองค์กร AIS Business ยังมีบริการด้านความปลอดภัยที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็น การปกป้องความปลอดภัยระดับอุปกรณ์ปลายทาง (End Point) , การเชื่อมต่อกับระบบ Cloud หรือ การดูแลการโจมตีรูปแบบต่างๆ เช่นการแฮกระบบ หรือการโจมตีแบบ DDoS AIS Business ก็มีบริการที่จะช่วยสนับสนุนการดำเนินธุรกิจขององค์กรด้วยความมั่นใจ สร้างนวัตกรรม และ โซลูชันเพื่อสนับสนุนความยั่งยืนของธุรกิจและความยั่งยืนทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อม ด้านที่สามของ AIS Business คือการทำธุรกิจไปพร้อมกับการสร้างเสริมให้สังคมและสิ่งแวดล้อมดีขึ้น โดยที่ผ่านมา AIS เองมีโครงการสนับสนุนสังคมหลายอย่าง ทั้งการสนับสนุนการศึกษาผ่านแพลตฟอร์ม AIS Academy for Thai หรือการเพิ่มความตระหนักภัยไซเบอร์ด้วยโครงการ AIS อุ่นใจไซเบอร์ ในแง่สิ่งแวดล้อม AIS ร่วมรับผิดชอบขยะอิเล็กทรอนิกส์ด้วยโครงการ AIS e-Waste และการลดการใช้พลังงานของเครือข่าย AIS เองเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน บทเรียนจากการจัดการของ AIS Businessเป็นโซลูชันที่องค์กรต่างๆ สามารถนำโซลูชันไปใช้งานได้ เช่น โซลูชันสำหรับการจัดการพลังงานในธุรกิจ, การตรวจสอบคุณภาพอากาศ, หรือการตรวจสอบของเสียที่เกิดจากอุตสาหกรรม ทาง AIS Business ได้พยายามสร้าง ecosystem เพื่อให้ธุรกิจต่างๆ ใช้บริการดิจิทัลมากขึ้นเพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจการอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การออกแบบหรือทดลองที่สามารถใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลสามมิติที่ประหยัดกว่าการสร้างต้นแบบจริงและต้องใช้วัสดุและพลังงานในการผลิตไปพร้อมกัน และทั้งหมดคือแนวทางของ AIS Business ที่จะจับมือกับธุรกิจต่างๆ ให้สามารถก้าวข้ามผ่านช่วงเวลา COVID-19 สู่การเติบโตและก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน AIS Business พร้อมเป็นพันธมิตรดิจิทัล ที่มั่นใจได้ เพื่อพัฒนาธุรกิจและสังคมไทย เติบโต อุ่นใจ ไปด้วยกัน "Your Trusted Smart Digital Partner" ปรึกษาและวางแผนพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อรองรับการทำงานและต่อยอดธุรกิจได้ที่ Email : [email protected] Website : https://business.ais.co.th
# เปิดตัว Oracle Database 23c มีเวอร์ชัน Free ให้นักพัฒนา ใช้งานบนโปรดักชันได้ Oracle เปิดตัวฐานข้อมูล Oracle Database 23c แบบ early access ซึ่งรอบนี้มาแบบเซอร์ไพร์ส ผิดวิสัย Oracle ด้วยการออกเวอร์ชัน Free เปิดเสรีให้นักพัฒนาใช้งาน ดาวน์โหลดไฟล์จากหน้าเว็บได้เลยไม่ต้องลงทะเบียนหรือมีบัญชีใดๆ กับบริษัทเลยด้วยซ้ำ มีแจกทั้งไฟล์ RPM, VirtualBox VM และ Docker Image ให้พร้อมสรรพ ปกติแล้วคำว่าฟรีกับ Oracle เป็นสิ่งที่ห่างไกลกันมาก โดย Oracle ให้เหตุผลของการปรับทิศทางรอบนี้ว่า ต้องการให้นักพัฒนาเข้ามาสร้างความคุ้นเคยกับฐานข้อมูลเวอร์ชันใหม่ก่อน แล้วจะออกเวอร์ชันสมบูรณ์ general availability ภายใน 12 เดือนข้างหน้า Oracle Database 23c Free ยังสามารถนำไปรันในโปรดักชันได้ด้วย (ไม่ห้าม) แต่มีข้อจำกัดเพดานข้อมูลที่ 12GB, แรมฐานข้อมูล 2GB, และซีพียูสูงสุด 2 เธร็ด นอกจากนี้ยังไม่มีบริการซัพพอร์ต รวมถึงไม่มีแพตช์ความปลอดภัยให้ ฟีเจอร์สำคัญของ Oracle Database 23c Free ได้แก่ JSON Relational Duality เชื่อมโลกฐานข้อมูลแบบ relational กับ JSON เข้าด้วยกัน เก็บข้อมูลแบบตาราง relational แต่แสดงมุมมองข้อมูลเป็น JSON ได้ด้วย (duality view) ฟีเจอร์ใหม่อย่างอื่นได้แก่ JSON Schema ตรวจสอบโครงสร้างไฟล์ JSON ว่าถูกต้อง, รองรับมาตรฐาน SQL ตัวใหม่ Operational Property Graphs, รองรับ Kafka API, รองรับ JavaScript Stored Procedures การรันโค้ดจาวาสคริปต์ในฐานข้อมูล เว็บไซต์ Infoworld อ้างมุมมองจากนักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมไอทีอย่าง IDC ว่าตลาดฐานข้อมูลแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ ในตลาดมีตัวเลือกมากมาย โดยเฉพาะกลุ่มฐานข้อมูลบนคลาวด์ ในขณะที่ฐานข้อมูลแบบดั้งเดิมก็เจอการแข่งขันจาก Microsoft SQL Server ที่เปิดกว้างมากขึ้นในช่วงหลัง ออกเวอร์ชันลินุกซ์ และสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเป็น 31.7% ไล่จี้ตัวเลข 32% ของ Oracle Database แล้ว ทำให้ Oracle จำเป็นต้องเปิดเวอร์ชันฟรีออกมาเพื่อรักษาฐานนักพัฒนาเดิม ที่มา - Oracle, Infoworld
# AMD เปิดตัวการ์ดประมวลผลวิดีโอ Alveo MA35D รองรับ AV1, กินไฟต่อวิดีโอต่ำ AMD เปิดตัวการ์ดประมวลผลวิดีโอฝั่งเซิร์ฟเวอร์ Alveo MA35D มีจุดเด่นคือรองรับการเข้ารหัสวิดีโอแบบ AV1 และการเข้ารหัสวิดีโอพร้อมกัน 32 สตรีม (1080p60) ต่อการ์ด การ์ดเร่งความเร็วการประมวผล (accelerator) ตระกูล Alveo เป็นการ์ดแบบ ASICS ที่ AMD ได้มาจากการซื้อกิจการ Xilinx ตั้งแต่ปี 2020 โดยการ์ดรุ่นนี้เป็นรุ่นแรกที่ปลดแบรนด์ Xilinx และเปลี่ยนมาใช้แบรนด์ AMD เต็มตัว Alveo MA35D เป็นการ์ดเร่งความเร็วการเข้ารหัสวิดีโอ (video processing unit หรือ VPU, บ้างก็เรียก media accelerator) ที่ออกแบบวงจรมาเพื่องานลักษณะนี้โดยเฉพาะ รองรับการเข้ารหัสวิดีโอ H.264, H.265 (HEVC), AV1 แบบ low latency (8ms สำหรับ 4Kp60) เหมาะสำหรับวิดีโอแบบไลฟ์หรือการให้บริการคลาวด์เกมมิ่งที่ต้องการระยะเวลาตอบสนองรวดเร็ว การ์ดยังออกแบบมาให้กินไฟต่ำ รองรับการเข้ารหัสวิดีโอได้มากๆ ทำให้อัดการ์ด 8 ตัวลงเซิร์ฟเวอร์ขนาด 1U ได้ (เท่ากับ 1 เซิร์ฟเวอร์เข้ารหัสได้ 256 สตรีมพร้อมกัน) ในแง่ความหนาแน่นต่อเซิร์ฟเวอร์จึงคุ้มค่า โดย AMD คำนวณการใช้พลังงานมาให้ว่าประมาณสตรีมละ 1 วัตต์เท่านั้น ตอนนี้ Alveo MA35D ส่งตัวอย่างให้ลูกค้าบางส่วนแล้ว จะเริ่มวางขายจริงในไตรมาส 3 ของปี 2023 ราคาตัวละ 1,595 ดอลลาร์ คู่แข่งในตลาดการ์ดเข้ารหัสวิดีโอที่รองรับ AV1 ยังมี Intel Arctic Sound-M และ NVIDIA L4 ที่เพิ่งเปิดตัวเช่นกัน ที่มา - AMD, AnandTech
# Minecraft เปลี่ยนไอคอนเข้าเกมใหม่ ปรับโลโก้ให้ดูทันสมัยมากขึ้น Minecraft เปลี่ยนไอคอนของแอพที่วางบนเดสก์ท็อปมานาน 10 ปีเป็นเวอร์ชันใหม่ เมื่อนับจำนวนผู้เล่น Minecraft จำนวนมหาศาลทั่วโลก (ยอดขายเกิน 200 ล้านชุด) ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้เล่นจำนวนมากที่จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ ไอคอนของเกม Minecraft จะเปลี่ยนทั้งเวอร์ชัน Java Edition, Bed Rock Edition (ทั้งรุ่นเสถียรและรุ่นพรีวิว) และตัว Minecraft Launcher ที่เป็นจุดเริ่มเข้าเกมในเครือ Minecraft นอกจากนี้ โลโก้ของ Minecraft Java Edition ที่ขึ้นโชว์ในเกม ก็ปรับเวอร์ชันใหม่ให้คมชัดขึ้น ขยายคำว่า Java Edition ให้เด่นกว่าเดิม ที่มา - Minecraft
# Apple เตรียมเปิด Apple Store สาขาแรกในอินเดีย ที่เมืองมุมไบ แอปเปิลประกาศเปิด Apple Store สาขาแรกในอินเดียอย่างเป็นทางการแล้ว ชื่อว่า Apple BKC ตั้งอยู่ใน Bandra Kurla Complex เมืองมุมไบ แต่ยังไม่ได้ระบุวันที่จะเปิดให้บริการวันแรก อินเดียเป็นประเทศยุทธศาสตร์ ที่แอปเปิลประกาศจะทำตลาดมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซีอีโอ Tim Cook เคยกำหนดเปิด Apple Store ในอินเดียภายในปี 2021 แต่เกิดการระบาดของโควิด 19 ทำให้เลื่อนมาเป็นปีนี้ คาดว่าแอปเปิลจะเปิด Apple Store ที่อินเดียแห่งที่สอง ในเวลาไม่นานจากนี้ โดยตั้งอยู่ในนิวเดลี อ้างอิงจากประกาศรับสมัครงาน ที่มา: MacRumors
# พบ macOS ตั้งแต่ Mojave ขึ้นไป ใช้ไวท์เปเปอร์ Bitcoin เป็นตัวอย่างไฟล์ PDF Andy Baio เผยแพร่เนื้อหาในเว็บ Waxy พูดถึงการค้นพบไฟล์ PDF ที่ซ่อนอยู่ใน macOS โดยบังเอิญ เมื่อเขาพยายามแก้ปัญหาพรินเตอร์ ทำให้ต้องใช้ Image Capture ที่ไม่ได้เปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น จึงพบว่าตัวอย่างไฟล์ PDF ที่แสดงนั้นเป็นไวท์เปเปอร์ของ Bitcoin ที่เขียนโดย Satoshi Nakamoto ผู้ใช้ macOS ตั้งแต่เวอร์ชัน 10.14 (Mojave) ขึ้นไป สามารถเรียกดูไฟล์นี้ได้ โดยไปที่ Terminal และพิมพ์คำสั่งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าไฟล์ดังกล่าวมีใน macOS ตั้งแต่ Mojave ขึ้นไป และเวอร์ชันล่าสุด Ventura ก็ยังมีไฟล์นี้ แต่เวอร์ชันเก่ากว่านั้นจะไม่มี Baio บอกว่าเขาไม่ใช่คนแรกที่พบไฟล์นี้ใน macOS เพราะมีคนเคยโพสต์ใน Apple Community ตั้งแต่ปี 2021 แต่อาจไม่มีใครสนใจ ทั้งนี้แอปเปิลยังไม่ได้ชี้แจงเหตุผลที่เลือกใช้ไฟล์ตัวอย่างเป็นไวท์เปเปอร์ Bitcoin แต่ก็น่าสนใจว่าทำไมจึงเลือกเอกสารนี้ ที่มา: MacRumors
# Google Play ปรับกฎใหม่ แอพต้องเพิ่มช่องทางให้ผู้ใช้ขอลบข้อมูลในบัญชีได้ Google Play ประกาศข้อบังคับใหม่ว่าแอพจะต้องเพิ่มช่องทางให้ผู้ใช้ขอลบข้อมูลในบัญชีของตัวเองได้ (ลบเฉพาะข้อมูลในแอพ แต่ไม่จำเป็นต้องลบตัวบัญชี เหมือนกับรีเซ็ตบัญชีใหม่) กูเกิลบอกว่าข้อบังคับนี้จะช่วยให้ผู้ใช้สะดวกขึ้น คุ้มครองข้อมูลส่วนตัวมากกว่าเดิม แต่ก็บอกว่าต้องการให้เวลานักพัฒนาเตรียมตัวพัฒนาฟีเจอร์นี้ด้วยเช่นกัน เบื้องต้นกูเกิลจะขอให้นักพัฒนาตอบแบบสำรวจเรื่องฟีเจอร์ลบแอพภายในวันที่ 7 ธันวาคม 2023 จากนั้นจะเริ่มขึ้นป้าย data deletion ในสโตร์ช่วงต้นปี 2024 เป็นต้นไป ตัวอย่างหน้าตาเมนูขอลบข้อมูล (Account cleanup) ภายในแอพ ตัวอย่างหน้าข้อมูลของแอพบน Google Play จะบอกให้ผู้ใช้ทราบว่าสามารถขอลบข้อมูลได้ ที่มา - Android Developers Blog
# OneNote ได้ฟีเจอร์ Copilot ให้ AI ช่วยร่างโน้ต หรือสรุปเป็นรายการที่ต้องทำก็ได้ ไมโครซอฟท์เพิ่งเปิดตัว Microsoft 365 Copilot เพิ่มฟีเจอร์ AI ให้กับแอพตระกูล Word, Excel, PowerPoint, Outlook, Teams แต่มีแอพตัวหนึ่งที่ถูกมองข้ามไปในตอนนั้นคือ OneNote ล่าสุด OneNote ได้ฟีเจอร์ Copilot กับเขาบ้างแล้ว รูปแบบการใช้งานคล้ายกับ Word คือสามารถใช้โมเดลภาษา LLM ช่วยร่างแผน สรุปโน้ต สร้างรายการลิสต์ จัดฟอร์แมตในโน้ตของเราได้ ตัวอย่างการใช้งานที่ไมโครซอฟท์นำมาโชว์คือ ให้ร่างแผนการจัดปาร์ตี้ฉลองวันจบการศึกษา จากนั้นสั่งให้สรุปแผนที่ร่างขึ้นมาเป็น to-do list ที่มา - Microsoft ตัวอย่างโน้ตที่ร่างโดย Copilot
# ซัมซุงต่อสัญญา AMD นำเทคโนโลยีจีพียู Radeon ไปใช้ในชิป Exynos รุ่นหน้าต่อ ซัมซุงมีข้อตกลงกับ AMD มาตั้งแต่ปี 2019 เพื่อนำเทคโนโลยีจีพียู Radeon มาใช้ในสมาร์ทโฟน ซึ่งออกผลมาเป็น จีพียู Xclipse ในชิป Exynos 2200 ที่ใช้ใน Galaxy S22 บางรุ่นย่อย อย่างไรก็ตาม พอมาถึงยุค Galaxy S23 ซัมซุงกลับลำ เปลี่ยนมาใช้ Snapdragon ทั้งหมดแทน ทำให้เกิดคำถามว่าชะตาชีวิตของ Exynos (รวมถึง Xclipse) จะเป็นอย่างไรต่อ โดยมีข่าวลือว่าซัมซุงตั้งทีมพัฒนาชิปใหม่แยกจากทีมเดิม ล่าสุด ซัมซุงประกาศขยายสัญญากับ AMD เพิ่มเติม โดยให้ข้อมูลคร่าวๆ แค่ว่าซัมซุงเลือกซื้อเทคโนโลยี Radeon หลายรุ่นไปใช้กับ Exynos รุ่นถัดไป ตรงนี้คงพอเป็นสัญญาณบ่งชี้ได้ว่าซัมซุงจะยังทำ Exynos ต่อ รวมถึงดันการใช้ Radeon/Xclipse ต่อไปด้วยเช่นกัน ที่มา - Samsung
# รู้จัก Alpaca และ Koala โมเดล LLM ที่พัฒนาต่อจาก LLaMA ของ Meta, ขนาดเล็กกว่า GPT แต่แข่งขันได้ ถึงแม้ OpenAI เปลี่ยนมาใช้แนวทางปิด ไม่เปิดเผยรายละเอียดของโมเดล GPT-4 และฝั่งกูเกิลเองก็ยังค่อนข้างระมัดระวังในการปล่อย Bard ทีละนิด แต่โลกเราก็ยังมีโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model หรือ LLM) ตัวอื่นให้ใช้งาน โดยเฉพาะ LLaMA ของ Meta ที่เปิดตัวในเดือนกุมภาพันธ์ 2023 ซึ่งเป็นโอเพนซอร์ส ใช้สัญญาอนุญาตแบบ GPLv3 และเปิดทางให้หน่วยงานวิจัยมาขอชุดข้อมูลที่ใช้เทรนไปศึกษาได้ ตัวอย่างก่อนหน้านี้คือ Nebuly AI สร้าง ChatLLaMA แบบโอเพนซอร์ส ใช้โมเดล LLaMA ของ Meta เป็นฐาน ส่วนมหาวิทยาลัยที่นำ LLaMa ไปใช้งานคือ Stanford มีโมเดลชื่อ Alpaca (ทุกคนล้วนรักสัตว์) เป็นการนำเอาโมเดล LLaMA ขนาดเล็ก 7 พันล้านพารามิเตอร์ มาเทรนปรับแต่ง (fine-tuning) อีกรอบด้วยข้อมูลการถาม-ตอบจาก OpenAI GPT (ฐานข้อมูล text-davinci-003) ช่วยให้โมเดล LLaMA ที่ขนาดเล็กกว่า GPT มาก สามารถตอบคำถามได้ไกล้เคียงกับ GPT มากขึ้น ล่าสุด BAIR หรือ Berkeley Artificial Intelligence Research ห้องวิจัยปัญญาประดิษฐ์ของมหาวิทยาลัย UC Berkeley เปิดตัวโมเดลแชทบ็อต Koala ซึ่งเป็นการดัดแปลง LLaMA ให้ตอบคำถามได้แม่นยำขึ้น โดยไม่ต้องใช้จำนวนพารามิเตอร์มากเท่ากับ GPT-4 Koala เป็นการนำโมเดล LLaMA ขนาดใหญ่ 1.3 หมื่นล้านพารามิเตอร์ มาเทรนเพิ่ม (fine-tune) โดยใช้ข้อมูลที่หาได้จากสาธารณะ ทั้งจากบนเว็บทั่วไปและจากชุดข้อมูลเทรนที่เปิดสาธารณะอยู่แล้ว (บางส่วนเป็นชุดข้อมูลคำถามคำตอบจาก ShareGPT รวมถึงข้อมูลจาก Alpaca ด้วย) ได้ออกมาเป็นโมเดล Koala-13B ขนาดเท่าๆ เดิมกับต้นฉบับ แต่มีความแม่นยำในการตอบคำถามมากขึ้น ผลการทดสอบโดยนำคำตอบจาก Koala มาเทียบกับโมเดลอื่นๆ ทั้ง ChatGPT และ Alpaca แล้วให้มนุษย์ 100 คนตัดสินแบบ blind test ว่าอันไหนดีกว่า (180 คำถามทดสอบ) พบว่าโมเดล Koala สามารถเอาชนะ Alpaca ได้แล้ว แต่ยังแพ้ ChatGPT อยู่ แต่ก็ถือว่าทำได้ดี แพ้ไม่ขาด ด้วยขนาดพารามิเตอร์ที่เล็กกว่ามาก BAIR บอกว่าโมเดล Koala ที่พัฒนาต่อจาก LLaMA มีจุดอ่อนร่วมเหมือนโมเดลตระกูล LLM อื่นๆ คือ อาจเพ้อเจ้อ (hallucinate) และตอบคำถามแบบมั่วๆ อย่างมั่นใจ ซึ่งในแง่การวิจัยก็ต้องหาวิธีพัฒนาปิดจุดอ่อนตรงนี้กันต่อไป ทั้งโมเดล Alpaca และ Koala เปิดตัวโมเดลและชุดข้อมูลเป็นโอเพนซอร์ส รายละเอียดอ่านได้จากลิงก์ของทั้งสองโครงการ
# Phil Harrison หัวหน้าทีม Stadia ลาออกจากกูเกิลแล้ว Phil Harrison หัวหน้าทีม Stadia โครงการคลาวด์เกมมิ่งฝันใหญ่ของกูเกิลที่เพิ่งปิดตัวลงไป ลาออกจากกูเกิลไปเรียบร้อยแล้วแบบเงียบๆ โดยหน้าเพจ LinkedIn ของเขาบอกว่าทำงานกับกูเกิลถึงเดือนเมษายน 2023 และยังไม่มีข้อมูลว่าจะไปทำอะไรต่อ Phil Harrison เป็นผู้บริหารวงการเกมที่เคยอยู่กับทั้งโซนี่และไมโครซอฟท์ โดยเขาทำงานกับโซนี่ตั้งแต่ปี 1992-2008 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้า SCE Worldwide Studios คุมสตูดิโอเกมทั้งหมดในเครือ จากนั้นย้ายมาอยู่กับทีม Xbox ยุโรประหว่างปี 2012-2015 และงานล่าสุดคือรับผิดชอบธุรกิจเกมของกูเกิลระหว่างปี 2018-2023 ที่มา - 9to5google คลิป Phil Harrison เปิดตัว Stadia ครั้งแรกในปี 2019
# รอกันอีกนาน ภาพยนตร์ Minecraft ได้กำหนดฉายใหม่ 9 เมษายน 2025 Warner Bros. ประกาศวันฉายภาพยนตร์ Minecraft (ที่หลายคนลืมไปแล้วว่ามีอยู่) เป็นวันที่ 9 เมษายน 2025 หรืออีกราว 2 ปีเต็ม โครงการภาพยนตร์ Minecraft เป็นอีกมหากาพย์ที่จะทำกันมานานเกือบ 10 ปีแล้วยังไม่สำเร็จสักที โดย Warner Bros. ได้สิทธิดัดแปลงเกม Minecraft เป็นภาพยนตร์มาตั้งแต่ปี 2014 ประกาศวันฉายครั้งแรกว่าจะเป็นปี 2019 แต่ก็มีเหตุต้องเปลี่ยนตัวผู้กำกับในปี 2018 และเปลี่ยนผู้กำกับอีกหลายรอบ จนล่าสุดได้ Jared Hess ผู้กำกับเรื่อง Napoleon Dynamite มารับงาน ตอนนี้ยังมีข้อมูลของภาพยนตร์น้อยมาก บอกแค่ว่าเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาวที่ต่อสู้กับ Ender Dragon มังกรบอสของ Minecraft โดยจะได้ Jason Momoa จาก Game of Thrones และ See มารับบทนำ ที่มา - Yahoo Entertainment, IGN
# Meta เผยแพร่ Segment Anything โมเดล AI สำหรับแยกแยะวัตถุในภาพ-วิดีโอ แม้ไม่เคยเทรนมาก่อน Meta เผยแพร่โครงการ Segment Anything โมเดล AI สำหรับงานแยกแยะวัตถุในรูปภาพและวิดีโอ (Segmentation) มีจุดเด่นคือความสามารถในการแยกแยะวัตถุต่าง ๆ แม้จะไม่เคยเทรนให้รู้จักวัตถุนั้นมาก่อน และมาพร้อมเครื่องมือที่วาดเส้นขอบวัตถุให้อัตโนมัติ ในงานที่เผยแพร่นี้ Meta นำเสนอสองอย่างได้แก่ Segment Anything Model (SAM) โมเดลสำหรับการแยกแยะวัตถุ เผยแพร่ภายใต้สัญญา Apache 2.0 และข้อมูล 1 พันล้านดาต้าเซต สำหรับงาน Segmentation (SA-1B) อนุญาตให้ใช้สำหรับงานวิจัย Meta บอกว่า Segmentation เป็นงานตั้งต้นของ Computer Vision ที่ต้องอาศัยการเทรนข้อมูลพื้นฐานก่อน แต่ด้วยชุดโมเดล SAM นี้ จะสามารถนำไปต่อยอดงานพัฒนาได้หลากหลายทันที เช่น การแยกแยะวัตถุแบบเรียลไทม์ใน AR/VR, การนำระบบจับวัตถุไปใช้กับแอปตัดต่อวิดีโอ หรือในงานวิจัยอื่น ๆ Meta ยังสร้างเว็บสำหรับทดลองใช้เดโมของ Segment Anything ที่ผู้ใช้งานสามารถลองอัปโหลดรูปของตนเองได้ด้วย ที่มา: Meta